|
|
ที่ TAF.09/215/48 |
|
6 กันยายน 2548 |
|
เรื่อง ความเห็นเกี่ยวกับการประเมินค่าทรัพย์สินในประเทศไทย |
|
เรียน ท่านนายกสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
ท่านนายกสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย |
|
สำเนาเรียน |
ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ท่านเลขาธิการ สำนักงาน กลต.
ท่านอธิบดี กรมธนารักษ์
ท่านอธิบดี กรมการประกันภัย
ท่านอธิบดี กรมบังคับคดี
กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สมาคมที่เกี่ยวข้องกับวงการอสังหาริมทรัพย์ทุกแห่ง |
|
|
สิ่งที่ส่งมาด้วย เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการจัดประกวดเรียงความ
ประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนซื้อ-ขาย
ชิงโล่ห์เกียรติยศจาก
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ฯพณฯ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ |
|
เนื่องด้วยกระผมในนามของมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
อันเป็นองค์กรการกุศลเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชนโดยไม่ได้เป็นผู้แทนนักวิชาชีพเช่นสมาคมวิชาชีพ
ได้จัดการสำรวจความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องในวงการประเมินค่าทรัพย์สิน
จึงขอเรียนเสนอข้อสรุปและความคิดเห็นเพิ่มเติมในกรณีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อท่านโปรดพิจารณาประกอบการพัฒนาวงการวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน
ดังนี้:
การดำเนินการ มูลนิธิจัดทำการสำรวจนี้เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เกี่ยวข้องในวงการประเมินค่าทรัพย์สิน
และผู้ใช้บริการตลอดจนประชาชนทั่วไปได้ช่วยกันตรวจสอบวิชาชีพนี้และร่วมสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพนี้
สำหรับวิธีการสำรวจนั้นใช้แบบสอบถามและให้ผู้เกี่ยวข้องได้กรอกแสดงความคิดเห็น จัดส่งไปยังไปรษณีย์หรือแจกจ่ายทั่วไปในช่วงเดือนกรกฎาคม
- สิงหาคม 2548 โดยได้แบบสอบถามกลับคืนมาทั้งหมด 503 ชุด แยกเป็นผู้ให้บริการหรือผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน
27% และอีก 73% เป็นผู้ใช้บริการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ในที่นี้เป็นการนำเสนอผลการสำรวจเบื้องต้น ความแตกต่างของมูลค่าที่ประเมินได้ ต่อข้อถามเกี่ยวกับว่า
มูลค่าตลาดที่ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินวิเคราะห์ออกมาโดยผู้ประเมิน
2 รายนั้น ไม่ควรต่างกันเกินกว่ากี่เปอร์เซ็นต์
ผลปรากฎว่า เฉลี่ยคือ 12% โดยผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเห็นว่าไม่ควรเกิน
15% แต่ผู้ใช้บริการรับได้ที่ 11% จำนวนผู้ให้บริการที่ควรจ้าง สำหรับในการประเมินค่าทรัพย์สินสำคัญ
ๆ ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 500 ล้านขึ้นไป ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ
ต่างเห็นตรงกันว่า ควรมีการว่าจ้างบริษัทประเมิน
3 แห่ง (ไม่น้อยกว่า 2 แห่ง) ทั้งนี้เพื่อจะได้ตรวจสอบมูลค่าที่ประเมินให้ชัดเจน
สำหรับในข้อนี้ หากเป็นในกรณีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
ไม่ควรให้ผู้ว่าจ้างติดต่อกับผู้ประเมินโดยตรง
การคัดเลือกบริษัทรประเมินควรเป็นการจับฉลากระหว่างบริษัทที่ได้รับอนุญาตทุกแห่ง
(ถือว่าทุกแห่งควรมีมาตรฐานเท่าเทียมกัน ยกเว้นถ้ากระทำผิดก็ต้องลงโทษซึ่งเป็นอีกกรณีหนึ่ง)
การจ่ายค่าจ้าง ให้จ่ายผ่าน กลต. (โดยรับค่าจ้างจากบริษัทมหาชน)
ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดกันกัน |
|
ปัจจัยพิจารณาเลือกใช้บริการ ในการเลือกใช้บริการบริษัทประเมินนั้น
ผู้ใช้บริการเห็นว่า ชื่อเสียงมาอันดับหนึ่ง ประสบการณ์เป็นอันดับ
2 ข้อเสนอด้านเทคนิคเป็นอันดับสาม และค่าจ้างที่ต่ำเป็นอันดับสี่
ซึ่งถ้าหากให้ชื่อเสียงมีคะแนนเท่ากับ 100% ประสบการณ์
จะเป็น 79% เทคนิคดี 74% และค่าจ้าง 56% ตามลำดับ
แต่ข้อนี้เชื่อว่าในความเป็นจริงของปัจจุบันที่มีการแข่งขันรุนแรง
ทำให้การว่าจ้างปกติยังต่ำกว่าอัตราค่าจ้างมาตรฐานของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย |
|
ความรับผิดชอบ ทั้งผู้ประเมินและผู้ใช้บริการต่างเห็นว่า
ในกรณีที่สถาบันการเงินให้สินเชื่อไปสูงกว่าที่ควร
เพราะเชื่อมูลค่าที่บริษัทประเมินได้ ถือเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย
(47%) อย่างไรก็ตามก็มีอีก 38% ที่เห็นว่าผู้ประเมินควรรับผิดชอบ
และมีเพียง 14% ที่เห็นเป็นความรับผิดชอบของผู้ให้สินเชื่อ |
|
ความน่าเชื่อถือของผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน มีผู้ตอบแบบสอบถามถึง
88% เห็นว่าผู้ประเมินค่าทรัพย์สินไม่ควรประกอบกิจการอื่นที่มีบทบาทขัดแย้ง
เช่น เป็นนายหน้าในเวลาเดียวกัน ในสหรัฐอเมริกามีการกำหนดชัดให้แยกกัน
แต่ของระบบอังกฤษ ไม่ถือสา ในกรณีประเทศไทย เราควรทำให้ชัดเจนว่า
ถ้าใครเป็นผู้ประเมิน ต้องไม่มีอาชีพเป็นนายหน้าด้วย
สำหรับความน่าเชื่อถือของวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินเมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น
โดยสมมติให้ความน่าเชื่อถือสูงสุดเท่ากับ 100% คือแพทย์ วิศวกรได้ 93% นักบัญชีได้
90% ส่วนผู้ประเมินค่าทรัพย์สินได้ 80% ซึ่งได้ไม่ต่ำกว่านักวิชาชีพอื่นทางด้านอสังหาริมทรัพย์
แสดงว่าวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินนี้ได้รับการยอมรับพอสมควร แต่ยังต้องพยายามแสดงบทบาทให้เป็นที่ยอมรับยิ่งขึ้น |
|
แนวทางการกำกับวิชาชีพ ได้มีผู้เสนอไว้ดังนี้:
1.
ต่อกรณีถ้าผู้ประเมินค่า ประเมินสูง/ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ
ผู้ประเมินไม่สมควรรับค่าจ้าง ข้อนี้ผู้ใช้บริการเห็นด้วย 67% ผู้ประเมินเห็นด้วย
41%
2.
ต่อกรณีที่ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ควรทำประกันความเสี่ยงทางวิชาชีพ (เผื่อประเมินผิด
บริษัทปรกันจะได้ช่วยชดใช้) เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการหรือไม่ ข้อนี้ผู้ใช้บริการเห็นด้วย
72% ผู้ประเมินเห็นด้วย 68%
3.
ต่อกรณีที่ผู้ประเมิน ประเมินผิดพลาดเพราะความประมาท ขาดความรู้ ทุจริต ผู้ประเมินสมควรจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ว่าจ้างหรือไม่
ข้อนี้ผู้ใช้บริการเห็นด้วย 82% ผู้ประเมินเห็นด้วย 64% |
|
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการประเมินค่าทรัพย์สิน ที่ดีต่อส่วนรวม
โดยให้คะแนนอันดับหนึ่งเท่ากับ 100% พบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินมีความรู้เพียงพอ
คืออันดับหนึ่ง (100%) รองลงมาคือ การมีระบบฐานข้อมูลที่ดีพอ
(71%) การมีสมาคมวิชาชีพที่เข้มแข็ง (69%) และสุดท้ายคือ
การสนับสนุนจากทางราชการ (53%) ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาความรู้ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ |
|
การควบคุมวิชาชีพ พบว่า
มีผู้เห็นด้วยกับการให้หน่วยราชการเข้ามาควบคุมโดยตรง
เช่น กรณีช่างรังวัดเอกชนเพียง 17% หรือการให้สมาคมผู้ประเมินเป็นผู้ควบคุมกันเองเพียง
16% ส่วนใหญ่ที่สุดถึง 68% เห็นควรให้มีการตั้งสภาวิชาชีพผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน
เช่น สภาสถาปนิก สภาวิศวกร (ซึ่งแม้มีสมาคมสถาปนิกและวิศวกรรมสถานฯ
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ยังตั้งสภาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการควบคุม
หรือสภานักบัญชีก็มีแล้ว (อันเป็นผลจากการยุคเลิกสมาคมนักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย) |
|
ข้อเรียกร้องสำคัญของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็คือ
1.
ข้อมูลราคาซื้อ-ขายที่แจ้ง ณ สำนักงานที่ดินในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ควรถือเป็นข้อมูลสาธารณะที่นำมาเปิดเผยเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประเมินค่าทรัพย์สิน
2.
กรมที่ดินควรมีบทบาทสนับสนุนข้อมูลแก่การประเมินค่าทรัพย์สิน ด้วยการอนุญาตให้ตรวจสอบเอกสารสิทธิเพื่อให้การประเมินค่าทรัพย์สินได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
สอดคล้องกับความเป็นจริง |
|
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
และหากทางมูลนิธิสามารถให้การสนับสนุนประการใดเพื่อการพัฒนาวิชาชีพ
กระผมยินดีรับดำเนินการเสมอ |
|
ขอแสดงความนับถือ
(ดร.โสภณ พรโชคชัย)
ประธานกรรมการ
|
|