แบงก์กรุงเทพอ่วมสูญหมื่นล้าน กรมที่ดินถอนโฉนดป่ากะปง
ประชาชาติธุรกิจ 5 ธันวาคม 2548 หน้า 1
 
สรุปสาระข่าว
 
          ยึดคืนสมบัติชาติ "ป่ากะปง-พังงา" ลอตแรกสำเร็จ อธิบดีกรมที่ดินเอาจริง สั่งเพิกถอน น.ส.3 ก.ทับที่ป่าสงวนฯ 332 แปลง เป็นที่ดินของบริษัท อินเตอร์ปาล์มออยล์ อินดัสทรีส์ จำกัด ระบุสะเทือนแบงก์กรุงเทพที่ปล่อยกู้ให้บริษัทเครือ "อัศวเหม" 1.1 หมื่นล้านโดยนำที่ดินป่ากะปงมาค้ำประกัน จับตาสัปดาห์หน้า "ดีเอสไอ" สรุปสำนวนฟ้องส่งอัยการ เล็งออกหมายจับอดีตบิ๊กข้าราชการร่วมทุจริต
 
ข้อคิดเห็น
 
          ปล่อยกู้กับทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงถูกเพิกถอน และอยู่ในพื้นที่ป่าอย่างนี้ ไม่ได้ไปสำรวจ-ประเมินค่าทรัพย์สินให้ละเอียดก่อนหรือ ไม่ฉุกคิดบ้างหรือ เงินตั้งนับหมื่นล้าน แล้วอย่างนี้คนปล่อยกู้จะรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นบ้างหรือไม่ อย่างไร
 
รายละเอียดของเนื้อข่าว
 
          ยึดคืนสมบัติชาติ "ป่ากะปง-พังงา" ลอตแรกสำเร็จ อธิบดีกรมที่ดินเอาจริง สั่งเพิกถอน น.ส.3 ก.ทับที่ป่าสงวนฯ 332 แปลง เป็นที่ดินของบริษัท อินเตอร์ปาล์มออยล์ อินดัสทรีส์ จำกัด ระบุสะเทือนแบงก์กรุงเทพที่ปล่อยกู้ให้บริษัทเครือ "อัศวเหม" 1.1 หมื่นล้านโดยนำที่ดินป่ากะปงมาค้ำประกัน จับตาสัปดาห์หน้า "ดีเอสไอ" สรุปสำนวนฟ้องส่งอัยการ เล็งออกหมายจับอดีตบิ๊กข้าราชการร่วมทุจริต

         แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากที่กรมที่ดินได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อสอบสวนและเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบในพื้นที่ป่ากะปง อ.กะปง จ.พังงา จำนวน 610 แปลง ซึ่งเข้าข่ายกรณีเพิกถอน 590 แปลง และแก้ไขอีก 20 แปลง

         ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวซึ่งมีเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงาเป็นประธาน ได้เริ่มดำเนินการพิสูจน์สอบสวนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2548 พร้อมทั้งได้ส่งผลสอบสวนให้แก่กรมที่ดินแล้ว ล่าสุดอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ในพื้นที่ตำบลเหล ตำบลท่านา ตำบลรมณีย์ อ.กะปง จ.พังงา จำนวน 332 แปลงแล้ว

         โดยนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อธิบดีกรมที่ดิน ได้มีคำสั่งเพิกถอนจำนวน 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 คำสั่งที่ 3127/2548 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 เพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ในพื้นที่ตำบลเหล จำนวน 28 แปลง

         ครั้งที่ 2 คำสั่งที่ 3319/2548 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ในพื้นที่ตำบลเหล จำนวน 235 แปลง และครั้งที่ 3 คำสั่งที่ 3320/2548 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ในพื้นที่ตำบลท่านา จำนวน 69 แปลง รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 332 แปลง

         ดังนั้นจึงยังคงเหลือ น.ส.3 ก.อีกจำนวน 276 แปลง ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางเดือนธันวาคม 2548 นี้

         แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า เอกสารสิทธิที่มีปัญหา ซึ่งเข้าสู่คณะกรรมการชุดแรกจำนวน 610 แปลงนี้ บริษัท อินเตอร์ปาล์ม ออยล์ อินดัสทรีส์ จำกัด เป็นผู้ถือสิทธิครอบครอง น.ส.3 ก.จำนวน 420 แปลง เนื้อที่ 9,876 ไร่ ส่วน น.ส.3 ก.อีกจำนวน 190 แปลง มีชื่อราษฎรและเอกชนเป็นผู้ถือสิทธิครอบครอง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิครั้งใหญ่ของกรมที่ดิน เพราะที่ดินมีเนื้อที่จำนวนมาก

         ด้านนายเสน่ห์ ประจบ ที่ดินจังหวัดพังงา และในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2548 ว่า ทางคณะกรรมการได้เสนอกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิไปทั้งหมด 610 แปลง และคณะกรรมการมีความเห็นไม่เพิกถอน 9 แปลงเนื่องจากที่ดินเป็นที่ลุ่มและมีน้ำ จึงเหลือเพียง 601 แปลงที่คณะกรรมการมีความเห็นเพิกถอน แต่ตอนนี้กรมที่ดินจะมีคำสั่งให้เพิกถอนแล้วหรือไม่นั้นตนยังไม่ทราบ เพราะขณะนี้สำนักงานที่ดินจังหวัดพังงายังไม่ได้รับหนังสือแจ้งมา

         "หากได้รับหนังสือจากกรมที่ดินแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้ก็จะต้องทำหนังสือแจ้งไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอกะปง เพื่อแจ้งให้ผู้ที่ถือครอง น.ส.3 ก.ส่งกลับคืนมาที่สำนักงานที่ดิน โดยจะต้องกากบาทสีแดงทับ เพื่อยืนยันว่ามีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.แล้ว"

         ที่ดินจังหวัดพังงากล่าวอีกว่า ในส่วนของเอกสารสิทธิที่เหลือนอกเหนือจาก 610 แปลงจากเดิมซึ่งมีปัญหาค้างอยู่รวมทั้งสิ้น 1,410 แปลง เนื้อที่ 28,170 ไร่นั้น ทางคณะอนุกรรมการจะต้องแปลภาพถ่ายทางอากาศและจะต้องรายงานไปยังกรมที่ดินก่อน หากพบว่าเอกสารสิทธิทับที่ป่าก็จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินอีกครั้ง และสรุปผลการสอบสวนนำเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินเพื่อลงนามเพิกถอนต่อไป

กระทบแบงก์กรุงเทพ
         แหล่งข่าวจากศาลแพ่ง เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.กระทรวงมหาดไทย กับพวก ข้อหาผิดสัญญาจำนอง กู้ยืม และค้ำประกัน จำนวน 12 คดี ทุนทรัพย์กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยก่อนหน้านี้นายวัฒนาและพวกได้ร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงเทพ โดยทำสัญญาจำนองและสลับกันค้ำประกันทั้ง 12 คดี โดยใช้ที่ดิน น.ส.3 ก. ต.กะปง จ.พังงา รวม 100 แปลง นับหมื่นไร่ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการนำเงินไปทำธุรกิจน้ำมันปาล์ม และพัฒนาที่ดินในช่วงปี 2536

         ต่อมานายวัฒนาได้เจรจาประนีประนอมยอมความจนคดียุติไปแล้วหนึ่งคดี (คดีดำ ธ.995/2548) เหลืออีก 11 คดี ที่อยู่ระหว่างการพักคดีรอศาลแพ่งไกล่เกลี่ยทำสัญญาประนีประนอมยอมความในช่วงเดือนธันวาคม

         ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้พยายามติดต่อไปยังผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ เพื่อสอบถามเรื่องกรมที่ดินเพิกถอน น.ส.3 ก.ทับที่ป่าสงวนแห่งชาติ 332 แปลง อันเป็นแปลงที่ดินเดียวกับที่นายวัฒนานำไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้แบงก์กรุงเทพกว่า 1.1 หมื่นล้าน แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด

ชาวกะปงเฮ-ได้ป่าคืนส่วนรวม
         นางเนตร แสงขาว สมาชิกกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ป่า ต.เหล อ.กะปง จ.พังงา กล่าวว่า ทราบเรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิของบริษัทอินเตอร์ปาล์มฯแล้ว มีความรู้สึกทั้งดีใจและกังวลใจควบคู่กันไป ในส่วนที่ดีใจเพราะมีความหวังว่าชาวบ้านจะได้ที่ดินที่หมดสภาพป่าแล้วบ้าง และในส่วนที่ดินที่ลาดชันเป็นภูเขาก็น่าจะได้รับการฟื้นฟูป่าคืนกลับสภาพป่าธรรมชาติต่อไป

         "สิ่งที่กังวลใจก็คือ กลัวว่าหมู่บ้านจะไม่เป็นสุข เพราะเชื่อว่าถ้ามีข่าวการเพิกถอนเอกสารสิทธิและทางราชการไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ก็จะต้องมีผู้เข้ามาบุกรุกยึดครองที่ดินโดยคนต่างถิ่นและสร้างความวุ่นวายในหมู่บ้านอีก" นางเนตรกล่าว

         ขณะที่นายสมชาย ทิพย์พิมล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เหล กล่าวว่า ได้ทราบข่าวการเพิกถอนชุดแรกแล้วทั้งหมดเป็นที่ดินของชาวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทางกรมที่ดินควรส่งหลักฐานการเพิกถอนมาให้ อบต.ทราบด้วยว่าพื้นที่ใดถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ เพื่อจะได้เรียกประชุม อบต.เหลว่าจะดำเนินการหรือช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการอย่างไรกับที่ดินที่ถูกเพิกถอนดังกล่าว เช่น ในพื้นที่ลาดชัน จะต้องฟื้นฟูให้สภาพป่ากลับมาหรือไม่ หรือพื้นที่ที่หมดสภาพป่าไปแล้วจะจัดสรรให้กับชาวบ้านในพื้นที่หรือไม่

"ดีเอสไอ" ประชุมสรุปสำนวนสัปดาห์นี้
         สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการปั๊ม น.ส.3 ก.ทับพื้นที่ป่ากะปงนั้น พ.ต.ท.กรวัช ปานประภากร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 8 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนทุกชุดที่ได้แบ่งแยกกันทำหน้าที่สอบสวน ซึ่งจะต้องดูว่ามีหลักฐานสามารถที่จะออกหมายจับใครได้อีกหรือไม่อย่างไร

         ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของพนักงานสอบสวนที่ทำหน้าที่สอบสวนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิในปี 2529 นั้น ไม่ว่าจะเป็นอดีตอธิบดีกรมที่ดิน เจ้าหน้าที่ที่ดิน อดีตอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ชี้แนวเขต ผู้ที่รับผิดชอบชุดนี้ คือ พ.ต.อ.อโณทัย บำรุงพงศ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 8 ซึ่งต้องจับตาดูว่าดีเอสไอจะมีการออกหมายจับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ร่วมทุจริตในขบวนการนี้กี่คน