Eng ไทย
หน้าแรก เกี่ยวกับมูลนิธิ หลักการประเมินค่าทรัพย์สิน มาตรฐานจรรยาบรรณ
อัตราผลตอบแทน
มาตรฐานราคาค่าก่อสร้าง บทความความรู้ข้อแนะนำ เว็บบอร์ด ติดต่อมูลนิธิ
กลับหน้าเสวนาฯ
สมัครสมาชิกเพียงปีละ 1,000 บาท รับสิทธิเข้าเสวนาฯ ฟรีทุกเดือน ดูรายละเอียดคลิก
สำหรับสมาชิก ดาวน์โหลดเอกสารได้ฟรี

สรุปงานเสวนาวิชาการ ครั้งที่ 39
เรื่อง "นโยบายที่อยู่อาศัยประเทศไทย"
วันพฤหัสบดี ที่ 22 ธันวาคม 2549 เวลา 13.00 – 17.00 น.
ณ โรงแรมนารายณ์ ห้องบอลรูม ถนนสีลม กรุงเทพฯ

     ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยไทย แนวทางการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้ที่เกี่ยวข้อง นำเสนอข้อมูลจริงที่เปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนนโยบายที่อยู่อาศัยที่ผ่านมาของรัฐบาล ผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวต่อผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน สถาบันการเงิน นักลงทุน และประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ยังนำเสนอมุมมองและแนวโน้ม แผนการดำเนินงานด้านนโยบายที่อยู่อาศัยประเทศไทยในอนาคต เพื่อประโยชน์ต่อภาครัฐและเอกชนในการวางแผนพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนต่อไป

กล่าวเปิดการเสวนาและแสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "รัฐบาลกับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชน ในมิติใหม่"
โดย นาย วัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
คำกล่าวเปิดการเสวนาวิชาการ

       ในกระบวนเมกะโปรเจค ( Mega-Project ) ที่เกิดขึ้นมาในรัฐบาลชุดนี้ Housing เป็นเมกะโปรเจค เดียวที่ท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ยกให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้ามาดำเนินการ ที่ผ่านมาเมกะโปรเจคอื่นๆ รัฐบาลจะดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่ง Housing ได้ตั้งงบประมาณให้ 3, 000 ล้าน ปรากฏว่าทางกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ใช้เงินไปกว่า 40, 000 กว่าล้าน ในวันนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ตั้งมา 3 ปี มีรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คน ทำไปแล้วทั้งสิ้น 50,000 หน่วย สำหรับบ้านเอื้ออาทร ผมมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงนี้เพียง 3 เดือน ทำไปแล้วที่เหลืออีก 600, 000 หน่วยจนครบ

นโยบายที่อยู่อาศัยในประเทศไทยกับการแก้ไขปัญหาในมิติใหม่ ที่มาที่ไปของแนวความคิดในเรื่องของการสร้างที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางไปประเทศรัสเซีย ได้ไปเห็นประเทศนี้สร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน โดยใช้วิธีคิดแบบของ Socialite ก็คือ การสร้างให้เปล่า หลังจากนั้นกลับมาก็คิดว่าถ้าเราจะมาสร้างที่อยู่อาศัยให้กับคนไทย ก็จะทำให้ปัญหาของสังคมและปัญหาต่างๆ จะลดน้อยลงและหมดไป แต่ประเทศไทยทำแบบ Socialite ไม่ได้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศทุนนิยม ความคิดแบบทุนนิยมและสังคมนิยมแตกต่างกัน แต่จะมีจุดดีและจุดด้อยของแต่ละวิธีไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเรารู้จักนำมารวมกัน ผสมผสานเข้าด้วยกันก็จะดีมาก คือ สังคมนิยมมีอุดมการณ์แต่ไม่มีวิธีการ ทุนนิยมเป็นระบบที่มีวิธีการแต่ไม่มีอุดมการณ์ ซึ่งจะมีเป้าหมายที่แน่นอน ถ้าเรานำเอาอุดมการณ์ของสังคมนิยมตั้ง และดำเนินขับเคลื่อนแบบทุนนิยมนี้จะทำให้เป็นระบบที่สมบูรณ์มากที่สุด นี่คือสิ่งที่รัฐบาลได้นำเอามาใช้กับนโยบายที่อยู่อาศัยในประเทศไทย

      เมกะโปรเจค ( Mega-Project ) ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ของรัฐบาลมอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งสำรวจมาจากประชาชนที่มาจดทะเบียนคนจนกับทางรัฐบาลที่ไม่มีที่อยู่และมีความต้องการที่อยู่อาศัย ประมาณ 1.5 ล้านคน ซึ่งทางรัฐบาลตั้งเป้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯรับผิดชอบ มีจำนวนทั้งสิ้น 1.4 ล้านหน่วย โดยมีการแบ่งความรับผิดชอบออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ให้การเคหะแห่งชาติ รับผิดชอบโครงการบ้านเอื้ออาทร จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 600,000 หน่วย จะดำเนินการแบบ Supply Event คือ การเคหะจะจัดจ้าง ซื้อ หรือว่าสร้างเสร็จแล้วจะให้ประชาชนเข้าอยู่ แล้วก็ผ่อนธนาคารต่อ 600,000 หน่วยที่สร้างเสร็จแล้วเข้าอยู่ ส่วนอีก 300,000 หน่วย ดำเนินการภายใต้โครงการเรียกว่าบ้านมั่นคง โดยความรับผิดชอบโครงการ คือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ (พอช.) เป็นจำนวน 300,000 หน่วย ตัวเลขนี้ได้มาจากการสำรวจชุมชนแออัดหรือสลัมในประเทศไทย ซึ่งทางรัฐบาลต้องการเปลี่ยนจากสลัมให้มาเป็นบ้านที่อยู่อาศัยที่มีความมั่นคง ให้กับประชาชนที่ยากจนในชุมชน การที่จะทำให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงจะทำได้อย่างไร ถ้าอยู่ในพื้นที่ดินของรัฐ เช่น ราชพัสดุ การรถไฟ ก็จะทำสัญญาเช่าระยะยาวให้กับประชาชน ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ให้สถานที่ทางราชการที่ถูกประชาชนบุกรุกจะให้ประชาชนทำสัญญาเช่าอย่างน้อย 30 ปี เป็นการดำเนินงานตามแบบ Demand Event คือ ทุกอย่างจะมาจากความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ประชาชนกำหนดรูปแบบเอง กำหนดโปรเจคเอง ประชาชนคิดโครงการขึ้นมาเอง ทางสถาปนิคทำหน้าที่เป็นลูกมือของประชาชนเขียนแบบตามที่ประชาชนต้องการ เช่น นาย ก. มีขีดความสามารถผ่อนชำระบ้านได้เดือนละ 800 บาท ก็จะมีขนาดบ้าน 800 บาท ส่วนนาย ข. สามารถผ่อนชำระบ้านได้ 1, 500 บาท บ้านของนาย ข. จะมีขนาดใหญ่กว่านาย ก. ซึ่งการแก้ปัญหาตรงจุดนี้ไม่ได้แก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการบุกรุกที่ดินของภาคเอกชนด้วย โครงการสุดท้ายของรัฐบาล ทำบ้านสำเร็จรูปหรือบ้านน็อกดาวน์ อีกประมาณ 500, 000 หน่วย บ้านประเภทนี้ คือ สร้างขึ้นให้กับคนที่มีที่ดินแต่ไม่มีบ้าน หรือพวกที่มีบ้านแต่ถูกมหันตภัยธรรมชาติทำลาย ซึ่งทางรัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือ สำหรับความช่วยเหลือของรัฐบาลกับโครงการดังกล่าว บ้านเอื้ออาทรทางรัฐบาทช่วยเหลือหลังละ 80, 000 บาท บ้านมั่นคงทางรัฐบาลช่วยเหลือหลังละ 60, 800 บาท ส่วนบาทสำเร็จรูปหรือบ้านน็อกดาวน์ รัฐบาลช่วยเหลือหลังละ 30, 000 บาท ราคาบ้านประเภทนี้ราคาประมาณ 130, 000 บาท ซึ่งเป็นเหมือนเงินดาวน์ และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับประชาชน ทั้งหมดนี้รัฐบาลได้ช่วยเหลือ ประมาณ 17-20% ของราคาบ้านทั้งหมด

      หน้าที่ของรัฐบาลที่สำคัญต่อนโยบายที่อยู่อาศัย ก็คือ หน้าที่แรก จะเป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริม ให้ เกิดการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 78 กล่าวว่า รัฐต้องส่งเสริมกลไกการค้าเสรี และรัฐธรรมนูญเขียนต่อไว้ว่า ต้องกำกับกลไกตลาดเพื่อให้เกิดการแข่งขัน กันอย่างเป็นธรรม หน้าที่ที่สอง ทำหน้าที่เป็น Regulator ผู้ตั้งกฎเกณฑ์ รัฐธรรมนูญ เขียนไว้ว่ารัฐบาลต้อง ไม่ประกอบธุรกิจแข่งขันกับภาคเอกชน หน้าที่ที่สาม รัฐบาลต้องส่งเสริมรายได้ และเอื้อประโยชน์ ให้กับภาคเอกชน เพราะว่ากำไรที่ภาคเอกชนได้สำหรับธุรกิจ จะสามารถลงทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก

     ในโลกนี้มีเพียงรัฐบาลเดียวที่ดำเนินการประกอบธุรกิจ คือ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ นอกนั้นโลกเสรี เขาใช้เอกชนทำธุรกิจ แล้วรัฐบาลทำการเก็บภาษีอากร เพราะฉะนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นให้เอกชนเกิดการลงทุน และขยายการลงทุน เพื่อที่ทางรัฐบาลจะได้เก็บภาษีได้มากๆ เพราะโดยโครงสร้างของธุรกิจไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ โลกของการแข่งขันกันทางธุรกิจจะเป็นแบบนี้ เมื่อภาคเอกชนเกิดกำไรก็จะเกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น และเกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติโดยภาพรวม การสร้างสังคมที่เป็น Community ชุมชนใหญ่ๆ ขึ้นมา จะต้องคิดอย่างรอบคอบ และครอบคลุมทุกอย่าง และขับเคลื่อนด้วยวิธีคิดแบบธุรกิจ โดยทางภาครัฐบาลมีหน้าที่วางนโยบาย และกระตุ้นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมการก่อสร้างทางภาคเอกชนให้มากขึ้น เพื่อเพิ่ม G.D.P. ผลิตภัณฑ์รวมภายในประเทศให้สูงขึ้นในปีหน้านี้ ผลที่ได้ก็ตกอยู่กับประชาชนและประเทศชาติ ก็คือ การแก้ไขปัญหาสังคมที่ยั่งยืน และปัญหาต่างๆ ก็ลดลง หรือหมดไป ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศต้นแบบของการจัดการที่อยู่อาศัยภายในประเทศไทย นี่คือนโยบายเรื่องที่อยู่อาศัยของประเทศไทยปี พ.ศ. 2549 และเป็นแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยในมิติใหม่ของรัฐบาล

     สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณคณะกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เรียนให้ท่านได้ทราบทั้งหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุดก็คือ ความจริงใจที่ผมมาในวันนี้ ก็ขอให้การเสวนาในครั้งนี้ได้ลุล่วงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ และหวังว่ารัฐบาลจะได้รับข้อเสนอที่ดี เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ตามสมควรต่อไป

การนำเสนอ "ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยไทย: นโยบายที่ยั่งยืน"
โดย คุณวสันต์ คงจันทร์ กรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

     ประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อนโยบายที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ที่จะเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหากับภาครัฐบาลมีอยู่ 5 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

     1. ภาพของนโยบายที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา
     ประเทศไทยเริ่มมีการจัดทำเรื่องของผังเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 หลังจากนั้นอีก 25 ปี ในปี พ.ศ. 2500 ได้มีการจัดทำร่างผังเมืองกรุงเทพฯ หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2535 อีก 35 ปีต่อมา จึงได้ประกาศใช้ร่างผังเมืองหลวงเป็นฉบับแรก ก่อนหน้านั้นในช่วง ปี พ.ศ. 2525 ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัย สังกัดอยู่ในคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วก็ได้ยุบไปในปี พ.ศ. 2539

     2. บทบาทของทางภาครัฐบาล
     เห็นได้ว่าประเทศไทยกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในอดีตที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ทางภาคเอกชนเป็นหลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 มาจนถึงปัจจุบัน และการเคหะแห่งชาติก็เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่สร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา ประมาณ 140 , 000 หน่วย ปัจจุบันภาคเอกชนได้สร้างที่อยู่อาศัย ประมาณ 2 ล้านหน่วย ซึ่งแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับทางภาครัฐบาล ปัจจุบันนี้นโยบายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของรัฐบาลได้ดำเนินการมาถูกทาง และแนวทางที่ถูกต้องต่อไป เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ดังที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวมาแล้ว คือ รัฐมีหน้าที่ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของประชาชน

     3. ความเข้าใจบางประการที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อย
     ในอดีตที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาทำการสำรวจศึกษาที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัด หรือสลัม กันอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปเป็นกรณีศึกษา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 หรือในปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา จะมีสัดส่วนของที่อยู่อาศัยของชุมชุนแออัด คิดเป็นร้อยละ 24 ทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จนมาถึงปี ค.ศ. 1994 หรือในปี พ.ศ. 2537 ทำการศึกษาสำรวจ พบว่า ชุมชนแออัดหรือสลัม เหลือเพียง ร้อยละ 6 เท่านั้น จากร้อยละ 24 และมีสัดส่วนของหมู่บ้านจัดสรร เพิ่มขึ้น ร้อยละ 66 ที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ อีกร้อยละ 29 จะเห็นว่าแนวโน้มของที่อยู่อาศัยในเรื่องของชุมชนแออัดจะลดน้อยลง ฐานของการพัฒนาบ้านจัดสรรประเภทต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

     4. โอกาสของนโยบายที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า
     องค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเจริญและการพัฒนาธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย มีดังนี้

     ปัจจัยที่หนึ่ง คือ ข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นในการให้ข้อมูลและข่าวสารกับผู้ประกอบการ นักธุรกิจพัฒนาที่ดิน ผู้บริโภค ควรมีการจัดตั้งและทำการเผยแพร่ข้อมูลให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

     ปัจจัยที่สอง คือ ภาครัฐควรมีการส่งเสริม และสนับสนุน วางแผนนโยบายระยะยาวในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท และดำเนินการพัฒนา ผลักดันนโยบายให้เกิดเป็นรูปธรรม กันอย่างจริงจังและอย่างต่อเนื่องต่อไป

     5. ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ดังนี้
          - ประเทศไทยควรส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยภาคเอกชนเป็นหลัก
          - ประเทศไทยควรจะมีนโยบายที่คุ้มครองผู้บริโภคที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น การคุ้มครองเงินดาวน์ การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านอื่นๆ การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น
          - ประเทศไทยควรจะจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานอิสระที่ให้การสนับสนุนทางด้านข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบ้านและที่อยู่อาศัยของไทย
          - ควรมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับนักวิชาชีพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ในการออกใบรับรองวิชาชีพ เป็นต้น
          - ควรมีมาตรการป้องปราม หรือมาตรการลงโทษที่ชัดเจน ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพต่างๆ ในกรณีที่ไม่สามารถประเมินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละวิชาชีพได้ หรือ สร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรและสาขาวิชาชีพของตนเองและของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


การนำเสนอ และการสรุปผลการสัมมนาของกลุ่มย่อย ทั้ง 5 กลุ่ม ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 " แนวทางควบคุม-ยกระดับความรู้นักพัฒนาที่ดิน"

     โดย คุณ วรรณา โฆวินฑะ ตัณฑเกษม ประธานสภาที่อยู่อาศัยไทย กล่าวว่า นักพัฒนาที่ดิน สามารถแบ่งกลุ่มได้ ดังนี้ 1. นักพัฒนาที่ดินในรูปของบริษัท จะมีทั้งอยู่ในและนอกตลาดหลักทรัพย์ 2. นักพัฒนาที่ดินที่เป็นเจ้าของที่ดินอยู่แล้วหรือได้รับจากบรรพบุรุษ 3. นักพัฒนาที่ดินที่เปลี่ยนจากการเป็นตัวแทนขายและเป็นนายหน้าค้าที่ดินมาก่อน และ 4. นักพัฒนาที่ดินที่เป็นชาวต่างชาติ เป็นต้น แนวทางในการยกระดับของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็จะถูกกำกับดูแล และควบคุมโดยตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว กลุ่มนี้จะมีหน่วยงานพร้อมอยู่แล้ว เช่น แผนกกฎหมาย การตลาด ผู้วิเคราะห์โครงการ และกลุ่มที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีความรู้ให้มาก และจะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนแนวทางในการควบคุมเรื่องการจัดสรรที่ดิน ก็มีกฎหมายจัดสรรที่ควบคุมอยู่แล้ว อาคารชุดจะมีกฎหมายเกี่ยวกับอาคารของกรุงเทพฯ ควบคุม และเรื่องจริยธรรม และจรรยาบรรณ ของผู้ประกอบการยังไม่มีการควบคุมของหน่วยงานใด เนื่องจาก เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก เพราะฉะนั้น สภาที่อยู่อาศัยกำลังผลักดันกฎหมายที่จะมาบังคับใช้และควบคุมผู้ประกอบการอยู่ โดยสรุปของกลุ่มมีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ ดังนี้

     1. โดยขั้นแรก ควรจะมีคณะกรรมการเข้ามาดูแล และควบคุมนักวิชาชีพและผู้ประกอบการก่อนที่กฎหมายจะออกมาบังคับใช้ต่อไป
     2. สถาบันการเงินต่างๆ และธนาคารจะเป็นส่วนสำคัญในการที่จะควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
     3. นักพัฒนาที่ดินต้องการเห็นกฎเกณฑ์และแนวทางที่แน่นอนอย่างชัดเจนที่เป็นรูปธรรม ของกรมที่ดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะกฎหมายบางตัวยังใช้การตีความกันอยู่


กลุ่มที่ 2 " ภาคเอกชน: บทบาทหลักในการจัดหาที่อยู่อาศัยไทย"

     โดย คุณ ประทีป ตั้งมติธรรม อดีตนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า เรื่องของการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเกี่ยวข้องกันอย่างกว้างขวาง ทั้งทำเลที่ดิน สิ่งแวดล้อม นโยบายรัฐ กฎหมายควบคุม การเมืองเศรษฐกิจ ตลอดจนตัวแทนนายหน้าที่มีส่วนให้การซื้อ-ขายสำเร็จ ดังนั้น เอกชนจึงมีบทบาทสำคัญ และเป็นบทบาทหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และทำให้กับผู้ที่มีรายได้ปานกลางไปจนถึงผู้ที่มีรายได้มากเป็นหลัก ซึ่งที่อยู่อาศัยเหล่านี้จะมีมูลค่าต่อหน่วยสูง และจะมีจำนวนหน่วยไม่มากนัก การเคหะแห่งชาติจะมีบทบาทเป็นอย่างมากในการทำที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อย สำหรับภาคเอกชนที่ทำที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อยจะไม่ค่อยเกิดขึ้น เนื่องจากการกำหนดกฎเกณฑ์ราคาของ BOI สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ราคาไม่เกิน 600, 000 บาทต่อหน่วย ในส่วนของบ้านเดี่ยว ในราคานี้สำหรับผู้มีรายได้น้อยก็เป็นไปไม่ได้ แต่จะมีบางส่วนที่ทำได้ คือ คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ แต่ต้องมีมาตรฐานของพื้นที่ อย่างน้อย 31 ตารางเมตร และก็อาจจะต้องได้ทำเลที่ไกลและอยู่นอกจากตัวเมืองด้วย สำหรับที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้ปานกลาง และผู้ทีมีรายได้สูงไม่มีปัญหา ส่วนการก่อสร้างโครงการตั้งแต่ 80 หน่วยขึ้นไป จะต้องมีการกำหนดสภาพแวดล้อม สาธารณูปโภค สาธารณูปการ การคมนาคม น้ำ พื้นที่สีเขียว สุขลักษณะต่างๆ จะไม่มีความแตกต่างกันเลยระหว่างกลุ่มที่มีรายได้น้อยกับผู้ที่มีรายได้ปานกลางและสูง และทางออกสำหรับที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อย ดังนี้

     1. การไปซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียมเก่า ในราคาที่ไม่สูงมากนัก และค่อยมีการพัฒนา ซ่อมแซมปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป
     2. การพัฒนาที่ดิน การตัดถนนผ่านของทางภาครัฐ ก็สามารถช่วยขยายความต้องการบ้านและที่อยู่อาศัย และขยายเศรษฐกิจของผู้ที่มีรายได้น้อยอีกด้วย


กลุ่มที่ 3 " เครื่องมือในการคุ้มครองผู้บริโภคควรมี (แต่ยังไม่มี)"

     โดย คุณ อรุณรุ่ง เดชะพูนผล ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ข้อสรุปและข้อเสนอแนะของกลุ่ม มีดังนี้

     มิติของการนิติบัญญัติ
          ๑. กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคมีอยู่กระจัดกระจาย มีหน่วยงานและกฎหมายที่หน่วยงานรับผิดชอบอยู่มาก ประชาชน ผู้บริโภคหรือผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเช่นว่านั้นไม่สามารถเข้าถึงกฎหมายได้สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมในเรื่องที่ต้องการทราบ
          ๒. ส่วนราชการไม่สามารถรู้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและไม่สามารถนำไปปรับใช้บังคับได้อย่างบูรณาการ อันทำให้ประชาชนได้รับบริการไม่สะดวกและล่าช้า ซึ่งหากมีฐานข้อมูลที่ดีและจัดทำเป็นประมวลกฎหมายให้เป็นหมวดหมู่ก็จะทำให้การนำกฎหมายไปใช้บังคับ อ้างอิงและค้นคว้าได้โดยสะดวก สำหรับในส่วนของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการของกรมที่ดินตามกิจกรรมแผนพัฒนากฎหมายของกรมที่ดินในส่วนการรวบรวมบทบัญญัติกฎหมายเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกัน (Compilation of Law and Regulation)
          ๓. กระบวนการนิติบัญญัติล่าช้า ไม่ทันและไม่ตอบสนองต่อธุรกิจที่มีความซับซ้อนของยุทธวิธีและแผนการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจ

     มิติของการบริหาร

          ๑. ไม่มีหน่วยงานและเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในราชการส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ หน่วยงานราชการส่วนกลางอื่นซึ่งตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดยังครอบคลุมไม่ถึง แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในฐานะประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดก็ตาม แต่ก็มีอำนาจจำกัด
          ๒.ฝ่ายบริหารไม่เห็นด้วยกับหลักการที่จะให้มีเงินกองทุนกำหนดไว้ในกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติเพื่อการพัฒนาในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการเยียวยาชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคโดยทันทีก่อนในเบื้องต้น
          ๓. การมีส่วนร่วมภาคประชาชนยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือกระตุ้นให้รู้สึกถึงการมีความรู้สึกร่วมโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ
          ๔. รัฐบาลมีแนวความคิดในเชิงบูรณาการงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีแนวความคิดในเชิงการบริหารงานภาครัฐด้วยการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงด้านกิจการคุ้มครองผู้บริโภค

      มิติของการยุติธรรม

          ๑. ยังไม่มีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีคุ้มครองผู้บริโภคเป็นการเฉพาะ
          ๒. ยังไม่มีศาลคุ้มครองผู้บริโภคทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการพิจารณาคดี

      มิติของผู้บริโภค

          ๑. ขาดสำนึกสาธารณะและความรู้สึกร่วมเมื่อถูกละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
          ๒. ภาคประชาสังคมมีความอ่อนแอ

     เครื่องมือในการคุ้มครองผู้บริโภคควรมี แต่ยังไม่มี (เพิ่มเติม)

          ๑. หน่วยงานและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนภูมิภาค เนื่องจากปัจจุบัน สคบ. มีบุคลากรที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวมากกว่าครึ่งของพนักงานทั้งหมด และในส่วนภูมิภาคก็ยังไม่มีหน่วยงานและเจ้าหน้าที่อย่างเพียงพอเช่นกัน
          ๒. เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีที่เกิดความเสียหายแล้ว
          ๓. สนับสนุนให้เพิ่มบุคลากรสำหรับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีงานรับผิดชอบเพิ่มขึ้น
          ๔. One stop service

          ๕. Escrow Account law เรียกว่า พ.ร.บ. การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา ประกอบด้วย ตัวแทนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และสัญญาซื้อ-ขาย จะต้องมีมาตรฐาน
          ๖. Class Action คือกรณีผู้บริโภคเกิดการเสียหาย แล้วชนะคดีความก็จะทำให้ผู้บริโภครายอื่นๆ ในความเสียหายอย่างเดียวกัน จะได้รับผลประโยชน์จากคดีความไปด้วย
          ๗. Product Liability law
          ๘. มาตรฐานข้อสัญญาซื้อขายแบ่งที่ดินไม่ถึงสิบแปลง มาตรฐานของข้อสัญญาการว่าจ้างปลูกสร้างบ้าน
          ๙. Compilation of law and Regulation on land


กลุ่มที่ 4 " ประสบการณ์พัฒนาที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่ไทยควรเรียนรู้"

     โดย คุณ สมชาย โอฬารชัชนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สิริวลัย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่เจริญแล้ว จะมีกระทรวงที่เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือการพัฒนาเมืองโดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การดำเนินในด้านที่อยู่อาศัยและเมืองของต่างประเทศนั้นเป็นไปอย่างมีคุณภาพดี ระบบการบริหารจัดการดี จึงอยากให้รัฐบาลจัดตั้งกระทรวงที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองขึ้นในประเทศไทย เพื่อที่จะให้มีเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทางภาครัฐบาลเข้ามาทำการศึกษา วางแผนนโยบายที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วทั้งประเทศ ให้มีการกระจายในทุกๆ ด้าน โดยการวางผังเมืองให้เป็นระบบอย่างถูกต้อง และรัฐบาลจะต้องมีหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้
     1. รัฐบาลสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภค นำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจในเรื่องที่อยู่อาศัยได้อย่างเพียงพอ
     2. ภาครัฐต้องให้บริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ตลอดจนด้านคมนาคมเชื่อมโยงกับการขนส่งให้ทั่วถึงกัน เพื่อไม่ให้ที่อยู่อาศัยมารวมตัวกันอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากนัก
     3. ภาครัฐต้องมีหน้าที่ศึกษาหาข้อมูล มาสนับสนุนภาคเอกชนในการลงทุนธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
     4. ให้ทางภาครัฐบาลออกใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพทางด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย และภาคการก่อสร้างให้มีมาตรฐาน และมีความชัดเจนยิ่งขึ้น


กลุ่มที่ 5 " ข้อมูลที่จำเป็นและสามารถขายให้ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง"

     โดย ผศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ ภาควิชาการเคหะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว่า ข้อสรุปของข้อมูลที่จำเป็นต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มี 4 ประเด็นใหญ่ ดังนี้

     1. นโยบาย แนวทาง และข้อมูลของทางภาครัฐบาลจะต้องมีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น

  • โครงการเมกะโปรเจคต่างๆ
  • กฎหมายผังเมืองที่มีอยู่แล้ว และกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ใหม่
  • กฎหมายการควบคุมอาคาร การก่อสร้าง

     2. หน่วยงานของภาครัฐบาลที่ควบคุมกลไกในการประกอบวิชาชีพ เช่น กรมที่ดิน การจัดสรรที่ดินทำกิน การขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร ซึ่งจะต้องกำหนดขั้นตอน แนวทางการปฏิบัติ รายละเอียดต่างๆ อย่างชัดเจน โดยให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่วมกับภาครัฐด้วย

     3. ควรจะมีคณะกรรมการเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งชาติ โดยความร่วมมือของทางภาครัฐและภาคเอกชน เข้ามาวางกรอบแนวทางในการพัฒนาและดำเนินการเรื่องที่อยู่อาศัยของประเทศให้มีความเจริญยิ่งขึ้น

     4. จัดตั้งองค์กรที่เป็นจุดศูนย์กลางในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของประเทศ ทั้งที่เป็นข้อมูลของทางราชการ และข้อมูลทางการตลาดของเอกชน ตลอดจนข้อมูลของผู้บริโภคในประเทศไทยอีกด้วย


ความคิดเห็นของหน่วยงานราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ
คุณ ลดาวัลย์ ธนะธนิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสมาคม ธนาคารไทย

     กล่าวสรุปว่า ประเด็นหัวข้อเรื่องนโยบายกับการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในมิติใหม่ จะมีข้อมูลอยู่ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่การเคหะแห่งชาติจะมีข้อมูลที่เกี่ยวกับนโยบายที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อยเป็นหลัก และก็มีข้อมูลที่การเคหะแห่งชาติดูแลอยู่อีกหลายระดับด้วยกัน  และสรุปการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และข้อคิดเห็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ดังนี้
     1. ในส่วนของธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆ ควรจะมีจริยธรม ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และจะต้องดูแลผู้บริโภคเป็นสำคัญ คือ ผู้ซื้อจะต้องได้สิ่งที่มีคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามมูลค่าของเงินที่ผู้บริโภคเสียไป และทางธนาคารจะปล่อยสินเชื่อให้เฉพาะผู้ประกอบการที่ทำถูกต้องตามระเบียบของทางราชการทุกอย่างเท่านั้น
     2. บทบาทของสถาบันการเงิน ก็คือ การทำสัญญาและค้ำประกันให้กับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ ผู้รับเหมา ผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง และจะต้องวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของโครงการอีกด้วย
     3. การทำเรื่องที่อยู่อาศัยสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ผู้ประกอบการจะต้องพยายามปรับและเลือกโครงการให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรวม ตลอดจนศึกษาตลาดเป้าหมายที่ต้องการบ้านในแต่ละประเภท สิ่งเหล่านี้ทางธนาคารจะนำเอามาพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อในแต่ละโครงการต่อไป


คุณ ฐิตานนท์ พิบูลย์นครินทร์ รองผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ

     กล่าวสรุปว่า ปัญหาในเรื่องของกฎหมาย สมควรจะมีกฎหมายเพิ่ม ซึ่งทางการเคหะแห่งชาติก็กำลังดำเนินการอยู่ ไม่มีผู้ประกอบการเข้ามาร่วมกันผลักดัน จะมีแต่หน่วยงาน สมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยดำเนินการต่อและผลักดันร่วมกันให้เกิดกฎหมายขึ้น ส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะมีส่วนช่วยผลักดันโครงการที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว นอกจากกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว และประเทศไทยควรจะมีกระทรวงการพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือการพัฒนาเมือง ให้เหมือนกับต่างประเทศ ที่มีมานานแล้ว แต่การจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐบาลจะต้องไปตัดและแบ่งขนมเค้กจากกระทรวงใหญ่ๆ ที่สำคัญรัฐบาลควรจะอาศัยข้อมูลของประชามติของประชาชนและผู้ประกอบการภาคเอกชน ถ้ากระทรวงนี้เกิดขึ้นได้ก็จะทำให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนและต่อเนื่องเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ก็ขอความร่วมมือของทุกฝ่ายให้ร่วมมือและผลักดันก่อให้เกิดกระทรวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยหรือการพัฒนาเมืองให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว


คุณพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์

          กล่าวสรุปดังรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญ 3 ประการ ไว้ดังนี้
     1. นโยบายด้านที่อยู่อาศัยของรัฐ ในปัจจุบัน

          1.1 ส่งเสริมตลาดบ้านใหม่

    • รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญ กับพัฒนาอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ
    • รัฐบาลส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับกลางขึ้นไป
    • รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการสร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น ใน Mega-Project เพราะเป็น Backlog ของการสร้างคุณภาพและความมั่นคงที่อยู่อาศัยในชีวิตของประชาชนที่ยากจน

          1.2 ส่งเสริมตลาดบ้านมือสอง

    • การพัฒนาให้ที่อยู่อาศัยเป็นมากกว่าบ้าน แต่เป็น Asset และ ทางเลือกที่ดีสำหรับ Investment
    • สร้างโอกาสการพัฒนา เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน ระดับต่าง ๆ
    • โดยให้ ตลาดบ้านมือสอง มี Liquidity ในการซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน

          1.3 ที่อยู่อาศัยราคาถูกจากภาคเอกชน (BOI )

    • บ้านราคาไม่เกิน 600,000 บาท สร้างโดย ภาคเอกชน
    • ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก (BOI)

          1.4 บ้านเอื้ออาทร โดย การเคหะแห่งชาติ ( กคช.)

    • สร้างบ้านจำนวน 600,000 หน่วย ในปี 2548-2552
    • สำหรับผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ ( รายได้ครอบครัวต่ำกว่า 15,000 บาท/ เดือน)
    • คาดว่า ปี 2549 จะเสร็จประมาณ 90,000 หน่วย

          1.5 บ้านมั่นคง โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)

    • แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้คนจนเมือง (สลัม) ทั่วประเทศ 1 , 425, 000 คน (285, 000 หน่วย) สำหรับ 2, 000 ครอบครัว ใน 200 เมือง ทั่วประเทศ ในปี 2548-2551
    • โครงการนำร่อง 10 แห่งทั่วประเทศ ประมาณ 1 , 500 หน่วย
    • ปรับปรุง หรือสร้างใหม่ ในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของชุมชน หรือ ได้รับสิทธิ์การเช่าระยะยาว (30-60 ปี)
    • รัฐมีเงินอุดหนุน สาธารณูปโภค และดอกเบี้ย

     2. ธอส. กับบทบาทผู้นำตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย
          2.1 ธอส. สนับสนุนโยบายรัฐในการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยจัดโครงการสินเชื่อพิเศษเฉพาะกลุ่ม
          2.2 ธอส. ยังร่วมในการพัฒนาตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อการรองรับการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
          2.3 ธอส. ร่วมมือกับองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ในฐานะพันธมิตร และหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างโอกาสการมีที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง

     3. ข้อคิดเห็นบางประการสำหรับนโยบายที่อยู่อาศัยของไทย
          3.1 ภาพรวม

    • ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนามากนัก
    • แต่มีแนวนโยบายที่แก้ปัญหาเฉพาะกลุ่มที่ชัดเจนขึ้น
    • ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
    • ประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาให้ระบบตลาดเพื่อรองรับ Demand ที่อยู่อาศัยในตลาด
    • รัฐเข้ามาช่วยจัดสร้างที่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เป็นเรื่องที่เหมาะสมในขณะนี้ เพราะเป็น Backlog ในตลาด
    • รัฐได้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคและคมนาคมขนส่งมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างยิ่ง
    • ดังนั้นจึงกล่าวโดยรวมได้ว่า แนวนโยบายที่อยู่อาศัยของรัฐในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
    • แต่ รัฐควรจะต้องจัดทำแผนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทาง หรือ Road Map สำหรับการพัฒนาของประเทศ และสามารถทำให้ทุกฝ่ายทั้ง ภาครัฐ และเอกชน เข้ามาร่วมได้อย่างเหมาะสม

          3.2 สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้นโยบายทีประสิทธิภาพ

    • การเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยทั้งระบบที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งครอบคลุม ทุก Segment
    • ควรจะมีหน่วยงานทำหน้าที่ประมาณการ ตัวเลขความต้องการที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา
    • รัฐควรจะจัดทำโครงการในลักษณะ Public-Private Partnership (PPP) ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น
    • ควรส่งเสริมให้เกิดการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยควบคู่กับแหล่งงานใหม่ ๆ หรือชุมชนเมืองใหม

ดร. สุวัฒน์ วาณีสุบุตร ที่ปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

     กล่าวสรุปว่า เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาที่อยู่อาศัยกับการขนส่งจะมีความสอดคล้องและไปด้วยกันได้ดี แต่ที่ผ่านมาทั้ง 2 วิชาชีพนี้แยกออกจากกันไปคนละทิศทาง จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในต่างประเทศที่มีการพัฒนาและความเจริญแล้วจะเดินไปด้วยกัน กลุ่มเดียวกัน วิชาชีพเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น วิศวกร สถาปนิค นักธุรกิจทั่วไป นักการเงินการธนาคาร เชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยไม่มีที่สิ้นสุด ยังขยายตัวไปไกลกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา ภาครัฐบาลไม่มีเข้มแข็ง ไม่ให้ความสนใจกับการสร้างที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง ทั้งที่การสร้างที่อยู่อาศัยมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง

     ข้อเสนอแนะทางภาครัฐ มีดังนี้
     1. รัฐบาลควรจะลงทุนตัดถนนให้เพิ่มมากขึ้น จะทำให้เกิดที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อีกด้วย
     2. เรื่องผังเมือง ต้องมีการรวมกลุ่มกันคิดและวางระบบผังเมืองให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
     3. ภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันในการพัฒนาทุกด้าน ทั้งการขนส่งมวลชน การคมนาคม การก่อสร้างอาคาร บ้านที่อยู่อาศัย และการขยายที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชนให้เป็นรูปธรรม

     แนวทางนโยบายและการปฏิบัติของทางรัฐบาลในเรื่องที่อยู่อาศัยได้ดำเนินการมาถูกทางแล้ว และให้การเคหะแห่งชาติรับผิดชอบโครงการสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อย จึงเป็นผลงานที่ดีและยิ่งใหญ่ ส่วนภาคเอกชนจะต้องให้ภาครัฐสนับสนุน วางแผนการร่วมกัน และให้มีการรวมกลุ่มของประชาชนให้เป็นชุมชุนขึ้นมา เพื่อสะดวกในการดำเนินการตัดถนน และพัฒนาที่ดินที่ใช้สำหรับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท ต่อไปในอนาคต

Area Trebs
 
อาคาร @area เลขที่ 5/15 ซอยนนทรี 5 ถนนนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120 Tel.66.2295.3171 Fax.66.2295 1154 Email:info@thaiappraisal.org; สถานที่ตั้ง:แผนที่