จากที่ทางราชการโดยกระทรวงการคลัง ได้ประกาศใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบใหม่ (พ.ศ. 2547-2550) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า ราคาประเมินที่ประกาศใช้ยังมีจุดที่น่าสงสัยหลายประการที่สาธารณชนควรรู้ ทั้งประเด็นการปรับเพิ่มของราคา ความแตกต่างระหว่างราคาในแต่ละจังหวัด ทางมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินจึงได้ทำบทวิเคราะห์พิเศษชิ้นนี้ขึ้นเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน บทสรุปสำคัญคือควรมีการประเมินรายแปลงจริง ๆ ควรและควรมีกำลังคนในการทำงานมากกว่านี้ โดยอาจใช้วิธีการให้เอกชนมีส่วนร่วม
ราคาที่ดินเพิ่มเท่าไหร่กันแน่
ดร. โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์ไทย ได้เปิดเผยว่า ที่ว่าราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 5.6% นั้น เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเท่านั้น ในรายละเอียดพบว่า ที่ดินส่วนใหญ่ที่สุด ราคาแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย มีแปลงที่ดินเพียง 288,623 แปลง หรือ 20% ของแปลงที่ดินทั้งหมด 1,410,173 แปลง ที่เพิ่มขึ้น นอกนั้นส่วนใหญ่ 77% ราคาเท่าเดิม และมีอีก 3% ที่ราคากลับลดลงเสียอีก
การที่ราคาลดลงนั้นมีหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนรูปร่างที่ดินเนื่องเพราะถูกเวนคืน การขุดหน้าดินไปขาย การที่รอบก่อนประเมินสูงเกินความเป็นจริงจึงปรับลดลง ฯลฯ
ความสับสนแรกในกรณีปริมณฑล
ในจังหวัดปริมณฑล 5 แห่งคือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาครและนครปฐมนั้น มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9% ซึ่งข้อนี้สามารถเข้าใจได้ เพราะที่ดินชานเมือง ราคาจะถูกกว่าในเขตกรุงเทพมหานคร จึงอาจเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เร็วหรือสูงกว่าได้
อย่างไรก็ตามกลับปรากฏว่า มีหน่วยที่ดิน (ในเขตปริมณฑลส่วนใหญ่ยังไม่ได้ประเมินรายแปลง ยังเป็นหน่วยที่ดินรายบล็อค) ที่มีราคาเพิ่มขึ้นเพียง 4% เท่านั้น นอกนั้น 95% ราคาคงที่ และมีอีก 1% ที่ราคากลับลดลง ทั้งที่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนแปลงที่ดินที่มีราคาเพิ่มขึ้นนั้น มีถึง 20% ดังข้างต้น โดยเฉพาะในกรณีจังหวัดปทุมธานี มีหน่วยที่ดินเพียง 1% ที่มีราคาเพิ่มขึ้น นอกนั้นแทบทั้งหมดราคาเท่าเดิมหรือลดลง
จับคู่ดูความสับสน
ผลการวิจัยในพบว่า การเพิ่มขึ้นของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินอย่างน้อย 27 กรณีที่มีความไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง (โปรดดูตารางที่ 1) เช่น
ราคาที่ดินในจังหวัดกระบี่ เพิ่มสูงขึ้นถึง 79.6% ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลย และยิ่งเมื่อเทียบกับจังหวัดตรัง ซึ่งอยู่ใกล้กัน ราคาเพิ่มขึ้นเพียง 10.4% อีกกรณีหนึ่งก็คล้าย ๆ กัน คือ พังงา ซึ่งราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับสองของประเทศคือ 65.5% และยิ่งเมื่อเทียบกับภูเก็ต ซึ่งราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเพียง 23.8% แล้ว ความแตกต่างไม่น่าจะห่างไกลกันจนขัดสายตาเช่นนี้
นอกจากนี้จังหวัดในเขตภาคกลางก็ยังมี เช่น สิงห์บุรี ราคาที่ดินเพิ่มสูงถึง 53.7% ในขณะที่อ่างทอง ซึ่งอยู่ติดกันและแทบจะเหมือนกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม กลับราคาคาเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เท่านั้น กรณีนี้ก็ไม่อาจอธิบายใด ๆ ได้เลย
กรณีคล้าย ๆ กันยังพบได้เมื่อเทียบระหว่าง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ที่มีสัดส่วนราคาที่ดินเพิ่มขึ้นแตกต่างกันมาก คือ 49.3% และ 19.8% หรือ มหาสารคาม กับขอนแก่น ที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 40.9% และ 6.9% ตามลำดับ ทั้งที่ขอนแก่นเป็นเมืองที่มีความคึกคักทางเศรษฐกิจมากกว่ามหาสารคามเป็นอย่างมาก
คู่ความแตกต่างที่ "ขัดสายตากรรมการ" ในช่วงท้าย ๆ ของตาราง ก็ยังสังเกตได้เช่น ปราจีนบุรี (11.9%) และ ฉะเชิงเทรา (1.8%) ทั้งที่ฉะเชิงเทรามีการพัฒนามากกว่า หรือคู่ กาฬสินธุ์ (6.8%) และ ยโสธร (14.6%) ทั้งที่กาฬสินธุ์น่าจะเจริญกว่า แต่กลับห่างกันมาก และคู่อำนาจเจริญ (4.2%) และยโสธร (14.6%) ทั้งที่ตั้งอยู่ติดกัน เป็นต้น
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบความลักลั่นของราคาประเมินในจังหวัดข้างเคียง |
จังหวัด |
%เพิ่ม |
จังหวัด |
%เพิ่ม |
ข้อพิจารณา |
กระบี่ |
79.6 |
ตรัง |
10.4 |
ต่างอะไรกันขนาดนี้ |
พังงา |
65.5 |
ภูเก็ต |
23.8 |
ห่างเกินไป/ภูเก็ตเจริญกว่า |
สิงห์บุรี |
53.7 |
อ่างทอง |
0.3 |
อ่างทองใกล้ กทม. กว่าด้วยซ้ำ |
สุราษฎร์ธานี |
49.3 |
นครศรีธรรมราช |
19.8 |
ห่างกันเกินไป/สมุยแค่เกาะเล็กๆ |
มหาสารคาม |
40.9 |
ขอนแก่น |
6.9 |
ห่างเกินไป/ขอนแก่นเจริญกว่า |
ร้อยเอ็ด |
35.5 |
ยโสธร |
14.6 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
อุทัยธานี |
33.7 |
ชัยนาท |
12.6 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
นครสวรรค์ |
31.9 |
ลพบุรี |
2.9 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
ประจวบคีรีขันธ์ |
25.7 |
เพชรบุรี |
9.8 |
ตั้งแต่ปึกเตียน-ชะอำเป็นแหล่งท่องเที่ยว |
ปัตตานี |
25.5 |
สงขลา |
4.8 |
สงขลามีการพัฒนามากกว่า |
พะเยา |
24.0 |
เชียงราย |
5.2 |
เชียงรายมีศักยภาพท่องเที่ยว/การค้า |
นครพนม |
20.9 |
สกลนคร |
2.5 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
แม่ฮ่องสอน |
20.5 |
เชียงใหม่ |
13.9 |
เชียงใหม่มีศักยภาพท่องเที่ยว/การค้า |
อยุธยา |
17.2 |
ปทุมธานี |
8.7 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
พัทลุง |
17.0 |
ตรัง |
10.4 |
ตรังเจริญกว่ามาก |
ตราด |
16.6 |
จันทบุรี |
4.0 |
เกาะช้างคงไม่มีผลขนาดนี้ |
นนทบุรี |
15.7 |
ปทุมธานี |
8.7 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
ราชบุรี |
15.1 |
กาญจนบุรี |
6.8 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
ราชบุรี |
15.1 |
สมุทรสงคราม |
1.3 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
สระบุรี |
14.9 |
ลพบุรี |
2.9 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
แพร่ |
14.6 |
ลำปาง |
4.3 |
ลำปางมีศักยภาพสูงกว่ามาก |
ชลบุรี |
12.8 |
ระยอง |
5.7 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
เลย |
12.4 |
หนองคาย |
4.9 |
หนองคายมีศักยภาพสูงกว่ามาก |
ชัยภูมิ |
12.1 |
ขอนแก่น |
6.9 |
ขอนแก่นมีการพัฒนามากกว่ามาก |
ปราจีนบุรี |
11.9 |
ฉะเชิงเทรา |
1.8 |
ฉะเชิงเทรามีการพัฒนามากกว่า |
กาฬสินธุ์ |
6.8 |
ยโสธร |
14.6 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
อำนาจเจริญ |
4.2 |
ยโสธร |
14.6 |
ติดกันแท้ๆ แต่กลับห่างกันมาก |
จากการศึกษาของ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย www.thaiappraisal.org |
ราคาที่ดินสวนทางกับเศรษฐกิจ
คณะนักวิเคราะห์ของมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ยังพบอีกว่า การเปลี่ยนแปลงราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ไม่ได้สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละจังหวัดแต่อย่างใด ในกรณีนี้ คณะนักวิเคราะห์ได้นำเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินมาหาความสัมพันธ์ทางสถิติกับตัวแปรอื่น ๆ อีก 13 ตัวแปร เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP จังหวัด) รายได้ประชาชาติ รายได้ครัวเรือน หนี้สินครัวเรือน การเกิด-ตาย-ย้ายถิ่นและการเปลี่ยนแปลงของประชากรโดยรวม มาประกอบการพิจารณา โดยวิเคราะห์ ความสัมพันธ์เชิงตัวแปร (Correlation Matrix) และ การวิเคราะห์พหุคูณถดถอย (Multiple Regression Analysis)
ตารางที่ 2: ค่าความสัมพันธ์เชิงตัวแปรระหว่าง % ความเปลี่ยนแปลงของ
ราคาประเมินที่ดินของทางราชการกับตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ
|
ตัวเลขเฉลี่ยของข้อมูลภายในแต่ละจังหวัด |
ค่าความสัมพันธ์ |
ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) พ.ศ. 2543 (ล่าสุด)
% ความเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ช่วง พ.ศ. 2543/2542
|
-10.59%
0.69% |
รายได้ประชาชาติภายในจังหวัด พ.ศ. 2543 (ล่าสุด)
% ความเปลี่ยนแปลงรายได้ประชาชาติภายในจังหวัด ช่วง พ.ศ. 2543/2542
|
-10.89%
1.57% |
รายได้ของครัวเรือน พ.ศ. 2545 (สำรวจทุก 2 ปี)
% ความเปลี่ยนแปลงรายได้ของครัวเรือน พ.ศ. 2545/2543 |
-4.80%
11.27% |
หนี้สินของครัวเรือน พ.ศ. 2545 (สำรวจทุก 2 ปี)
% ความเปลี่ยนแปลงหนี้สินของครัวเรือน พ.ศ. 2545/2543
|
9.28%
15.77% |
% การเพิ่มขึ้นของประชากรที่เกิดรอด พ.ศ. 2544/2543
% การลดลงของประชากรจากการตาย พ.ศ. 2544/2543
% การย้ายถิ่นเข้าสุทธิของประชากร พ.ศ. 2544/2543
% การย้ายถิ่นออกสุทธิของประชากร พ.ศ. 2544/2543
% การเปลี่ยนแปลงของประชากรสุทธิ พ.ศ. 2544/2543
|
3.80%
-0.82%
-5.38%
-6.46%
3.93% |
GPP มาจาก www.nso.go.th/thai/stat/stat_23/toc_9/9.7-2.xls
GPP per capita: มาจาก www.nso.go.th/thai/stat/stat_23/toc_9/9.6-1.xls
รายได้/หนี้สิน มาจาก: www.nso.go.th/thai/stat/stat_23/toc_7/7.1-10.xls
ตัวเลขประชากรต่าง ๆ มาจาก: www.dopa.go.th (กรมการปกครอง) |
ค่าความสัมพันธ์: ถ้าใกล้กับ +/- 100% ถือว่ามีความสัมพันธ์ แต่กรณีนี้แทบไม่มีเลย |
จากการศึกษาของ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย www.thaiappraisal.org |
ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงตัวแปรอย่างมีนัยสำคัญเลย กล่าวคือ การปรับราคาประเมินที่ดินในจังหวัดหนึ่ง ๆ ไม่ได้สอดคล้องกับดัชนีทางเศรษฐกิจและสังคมเลย เช่น ไม่อาจกล่าวได้ว่า ราคาที่ดินในจังหวัดกระบี่ พังงา สิงห์บุรี สุราษฎร์ธานี มหาสารคาม ร้อยเอ็ดและอุทัยธานี ที่มีการปรับสูงขึ้นเป็นพิเศษนั้นเป็นเพราะ GPP ของจังหวัดนั้น ๆ มีขนาดใหญ่ หรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก รายได้ประชากรสูงขึ้น หรือมีประชากรเพิ่มมากขึ้น (น่าอยู่ คนจึงย้ายเข้าอยู่มากขึ้น ทำให้ราคาที่ดินแพงขึ้น เป็นต้น)
หรือในทางตรงกันข้าม การที่ราคาที่ดินในจังหวัดอ่างทอง สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา สกลนคร ลพบุรี หรือนครปฐม ที่ราคาที่ดินในรอบ 4 ปีขยับไม่เกิน 3% นั้น ก็ไม่ได้เป็นเพราะว่า GPP ลดลง รายได้ประชาชาติต่ำลง หนี้สินครัวเรือนมีมากขึ้น มีคนย้ายถิ่นออกมากขึ้น เป็นต้น
เราได้รู้อะไร
การที่ราคาที่ดินทางราชการมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีระบบ ไม่แสดงนัยสำคัญในเชิงเศรษฐกิจโดยตรงนั้น สะท้อนภาพที่ควรพิจารณาหลายประการ
ประการแรก การปรับราคาที่ดินในแต่ละพื้นที่ อาจขึ้นอยู่กับดุลพินิจทางการเมือง ซึ่งบางแห่งอาจไม่ต้องการให้สูงเพื่อไม่ให้ผู้เสียภาษีเดือดร้อน จึงเพิ่มไม่มากนักเป็นต้น
ประการที่สอง การนี้อาจเป็นเพราะความไม่ถ้วนถี่ เนื่องจากทางกรมธนารักษ์ มีเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้เพียง 200 คนในขณะที่ที่ดินทั่วประเทศมีทั้งหมดเกินกว่า 10 ล้านแปลง และยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เขากลับมาเจ้าหน้าที่ประเมินถึง 3,000 - 5,000 คนทีเดียว นอกจากนั้นยังสามารถว่าจ้างภาคเอกชนช่วยดำเนินการได้
ประการที่สาม การที่ราคาที่ดินประกาศออกมา แต่ไม่มีข่าวการฉงนสงสัย หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับราคาทั้งที่เป็นราคาที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็สะท้อนให้เห็นว่า เจ้าของที่ดิน-ทรัพย์สิน ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินนี้เท่าใดนัก และโดยมากมักจะทราบก็สายเสียแล้ว คือ เมื่อต้องการซื้อขาย ทำนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดินจึงทราบว่า ราคาประเมินของทางราชการสูงเกินจริง ทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราสูงเกินไป เป็นต้น
สิ่งที่ควรดำเนินการ
สำหรับข้อเสนอแนะที่สมควรพิจารณาได้แก่ ประการแรก การจัดทำบัญชีราคานี้ ควรทำแต่เนิ่น ๆ หรือทำอย่างต่อเนื่องแทนที่จะทำ 4 ปีต่อครั้ง ประการที่สอง ควรมีบุคคลากที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการว่าจ้างลูกจ้าง การว่าจ้างบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินดำเนินการ การให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นดำเนินการ เป็นต้น
และประการสำคัญที่สุดก็คือ ในการประเมินสำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ๆ เช่น ตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไป หากมีการทำนิติกรรม ควรจะทำการประเมินค่าทรัพย์สินใหม่ในทุกครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาที่สมควรตามภาวะตลาด
ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประเมินเองของทางราชการหรือการว่าจ้างให้ภาคเอกชนดำเนินการ คงไม่สูงเกินประสิทธิผล เช่น หากทรัพย์สินที่มีราคาเฉลี่ย 20 ล้านบาท อาจต้องมีต้นทุนการประเมิน 5,000 บาท หรือเท่ากับ 0.025% ของมูลค่าเท่านั้น ดังนั้น การอ้างว่าค่าใช้จ่ายในการประเมินอย่างเป็นธรรมเป็นต้นทุนที่สูง จึงแสดงว่าไม่เข้าใจความเป็นจริง หรือเป็นการพยายามบิดเบือนเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินที่โปร่งใส เป็นธรรม
นอกจากนี้ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้ทางราชการยังสามารถรับผิดชอบได้ เพราะจะสามารถเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมได้มากขึ้นนั่นเอง
และที่สำคัญ หากทางราชการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการจัดทำฐานข้อมูลราคาซื้อ-ขาย-ประเมินที่สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้ว ก็จะทำให้ประเทศไทยสามารถมีศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่ามีประโยชน์จริง ที่ให้ภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชัด และสามารถนำไปใช้เพื่อการวางแผนป้องกันปัญหาฟองสบู่ในอนาคตได้ |