อสังหาริมทรัพย์ในวันนี้ สำหรับประชาชนและนักลงทุนรายย่อย
 
อติณัช ชาญบรรยง
รองผู้อำนวยการ โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย


     สิบปีก่อนพอพูดถึงอสังหาริมทรัพย์ ก็นึกถึงแต่เรื่องอู้ฟู่ เศรษฐีในละครน้ำเน่ายังต้องมีอาชีพจัดสรรที่ดิน ในสังคมมีการเก็งกำไรที่ดินกันมากมาย แต่มาถึงปี 2540 สถานการณ์กลับหน้ามือเป็นหลังมือ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง อย่างไรก็ตามเมื่อถึง พ.ศ.นี้ รัฐบาลท่านก็มีมาตรการหลายอย่างกระตุ้นกำลังซื้อ ทำให้อสังหาริมทรัพย์ดูท่าจะฟื้นขึ้นมาอีก จนบางคนกลัวว่าจะเกิดปรากฏการณ์ "ฟองสบู่" ความจริงเป็นอย่างไร ถ้าหันไปหานักพัฒนาที่ดินหรือนายหน้าที่กำลังขายของอยู่ พวกเขาก็ต้องว่าดี ในที่นี้ เราลองมาดูกันแบบเป็นกลางกันดีกว่า

สถานการณ์วันนี้เป็นอย่างไร
     ภาวะขณะนี้ จูงใจให้เกิดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์พอสมควร โดยเฉพาะในภาวะที่ดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงอย่างเป็นประวัติการณ์ ชาวบ้านที่พอมีเงินออม ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ส่วนหนึ่งก็มาซื้อหาอสังหาริมทรัพย์ เผื่อจะทำกำไรได้บ้าง อสังหาริมทรัพย์ที่มีความคึกคักมักเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น สำนักงาน ศูนย์การค้า ยังไม่มีสัญญาณที่ดีแต่อย่างไรและฟุบมากว่า 10 ปีแล้ว
     ความจริงภาวะเช่นนี้อันตรายมาก เพราะสำหรับผู้มีรายได้ที่แน่นอน และประสงค์จะซื้อบ้าน หลายคนก็ผ่อนกันเต็มที่ โดยแทบไม่ได้เผื่อไว้บ้างว่าหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาจะทำอย่างไร ดังนั้นถ้าวันหนึ่งดอกเบี้ยเงินกู้กลับสูงขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดภาวะเงินฝืดขึ้นมา ดอกเบี้ยก็ต้องขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าเงินผ่อนอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องขึ้นตามไปด้วย อันอาจส่งผลให้กำลังการผ่อนชำระของประชาชนขาดผึงลงไปก็ได้


เหตุผลควรซื้อบ้าน ?

     อย่างไรก็ตามในการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่อย่างใด ในทุกสถานการณ์เราก็สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ขึ้นอยู่กับว่า
1. เราซื้อในราคาที่เหมาะสมหรือไม่ ยิ่งถ้าซื้อแบบถูกกว่าท้องตลาดได้ก็จะดี
2. ทำเลที่เราซื้อ มีโอกาสดีหรือไม่ในอนาคต มีโครงการสาธารณูปโภคที่ดีหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าใกล้ระบบขนส่งมวลชน จะได้เปรียบในอนาคต
3. ทรัพย์สินที่เราซื้อ มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโตเพียงใด
4. ความจำเป็นในการซื้อและการตัดสินใจซื้อโดยเปรียบเทียบกับความต้องการ
5. ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว โดยเฉพาะสินค้าในเชิงการลงทุน เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปคนไม่สามารถบริหารได้เองหรือไม่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง
     อย่าลืมว่า ผู้ที่หวังจะซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องรอบรู้ (knowledgeable) โดยไม่หลงกระแสหรือถูกปลุกปั่นโดยผู้ที่มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้ประกอบการ คนขาย เป็นต้น
     สัจธรรมที่สำคัญ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ประเภทของทรัพย์สินที่น่าลงทุนนั้น ไม่ใช่น่าลงทุนตลอดไป คุณสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บจก.เอสซีแอสเซท (บริษัทถือครองทรัพย์สินของทางกลุ่มชินวัตร) เคยบอกไว้ในงานเสวนาของโรงเรียนของเราว่า ทรัพย์สินที่ว่าน่าลงทุนนั้น บอกวันนี้อีก 3 ปี ก็จะเฉา เพราะแห่ลงทุนตาม ๆ กันจนกระทั่งล้นตลาด หมดแรงจูงใจ ราคาตก หรือตลาดวายในที่สุด


แหล่งซื้ออสังหาริมทรัพย์

     ภาวะในวันนี้มีเรื่องน่าแปลก บ้านในโครงการของผู้ประกอบการ เช่น อาคารชุด ราคาขายบางแห่งตกตารางเมตรละ 45,000 บาท ทั้งที่ยังเป็นการขายกระดาษอยู่ แต่มีคนแห่ซื้อกันมาก ในขณะที่ในโครงการของกลุ่มผู้ประกอบการเดียวกัน ในทำเลที่ใกล้เคียงกัน แต่สร้างเสร็จมาราว 7 ปี กลับขายต่อกันในราคาไม่เกิน 25,000 บาทเท่านั้น
นี่แสดงว่าเรายังไม่รู้แหล่งซื้อทรัพย์สิน ยั งยึดติดกับการซื้อกับนักพัฒนาที่ดินเท่านั้น ความจริงยังมีแหล่งซื้อมากมาย ซึ่งควรจะพิจารณา เช่น:
1. สถาบันการเงินต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมามีทรัพย์สินที่ยึดมามากมาย สามารถผ่องถ่ายขายในราคาถูกได้ ถ้ามีโอกาส ผู้สนใจซื้อควรจะไปติดต่อตามสถาบันการเงิน ซึ่งมักมีฝ่ายทรัพย์สินรอการขาย หรือบางแห่งก็ตั้งเป็นบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ขึ้นเพื่อจัดการทรัพย์สินประเภทนี้โดยเฉพาะ และอย่าลืมว่า ซื้อของเหล่านี้ต้องต่อรองด้วย
2. สำหรับในภาครัฐก็มีแหล่งซื้อขายของถูก คือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ บบส, ซึ่งมีทรัพย์สินรอการขายมากมาย มีโชว์รูมขายทรัพย์เสียด้วย
3. กรมบังคับคดี ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่ง โดยถ้าเราเป็นผู้จะซื้อที่เป็นนักลงทุนก็ต้องไปดูหลาย ๆ รอบหน่อย เพราะในการประมูลรอบแรกเขาจะตั้งราคาประมาณ 80% จากราคาที่ทางกรมประเมินเอง ถ้าขายไม่ออกก็จะลดราคาลงมา โดยในรอบที่ 3 ก็จะเหลือประมาณ 50% หลายคนได้ทรัพย์สินดี ๆ จากการประมูลเหล่านี้


ทำเลไหนน่าซื้อ
     ความจริง ไม่มีทำเลไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับการใช้สอยของแต่ละคน เช่น คนที่บ้านอยู่บางแค คงไม่ไปซื้อบ้านที่บางพลี อยู่บางเขน คงไม่ไปซื้อบางพลัด อยู่บางขันก็คงไม่ไปซื้อบางซื่อ เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนเรามักจะซื้อตามความเคยชินในย่านที่ตนหรือญาติอยู่ ประเภทย้ายข้ามห้วยคงเป็นส่วนน้อย หรืออาจเป็นในกรณีออกเรือนไปอยู่บ้านอื่นมากกว่า
     อย่างไรก็ตามก็มีทำเลยอดนิยมบางแห่งที่น่าสนใจโดยเฉพาะในการลงทุน เช่น
1. ยานนาวา-พระราม 3 กรณีนี้มีสาธารณูปโภคหลายรายการกำลังจะเกิดขึ้น และอยู่ต่อจากสีลม อนาคตสีลม (ศูนย์ธุรกิจ) ก็คงขยายตัวมาทางนี้
2. บริเวณที่ระบบขนส่งมวลชน หรือรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดินผ่าน
3. บริเวณปลายทางด่วน ซึ่งทำให้สามารถเข้าเมืองได้สะดวก เป็นต้น


อาชีพเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ผู้ที่สนใจลงทุนซื้อทรัพย์สินที่ไม่ใช่จำกัดเฉพาะการอยู่อาศัยเอง ยังสามารถประกอบอาชีพเสริมต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น
1. เป็นนายหน้า เพราะจากที่เราได้ดูทำเล ทรัพย์สินต่าง ๆ มากมาย รู้จักคนมาก ก็จะสามารถเป็นนายหน้าผู้จัดหาสินค้าที่มีคุณภาพให้แก่ผู้สนใจซื้อรายอื่นได้ด้วย
2. เป็นผู้ปรับปรุงทรัพย์สิน เช่น ซื้อบ้านมือสองมา “ใส่ตะกร้าล้างน้ำ” ใหม่แล้วขาย
3. เป็นนักพัฒนาที่ดิน โดยเริ่มตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ การเป็นนักลงทุนรายเล็กก่อนแล้วค่อย ๆ ขยาย จะทำให้เราก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างมั่นคง
4. เป็นนักบริหารทรัพย์สิน/อาคาร/ระบบต่าง ๆ ในอาคาร เป็นต้น
 

เทคนิคการลงทุนซื้อทรัพย์สิน

1. เราต้องมีความรู้เรื่องการเงินบ้าง เช่น ถ้าวันนี้เราซื้อบ้านหลังหนึ่งและประมาณการว่าในอีก 5 ปีราคาก็คงไม่ขึ้นเลย วันนี้เราควรซื้อเป็นเงินเท่าไหร่ สูตรก็คือ
     = 1 / (1+ดบ)^ปี ^ หมายถึงยกกำลัง
     = 1 / (1.05)^5
     = 78.35%
     ดังนั้นถ้าบ้านหลังหนึ่งวันนี้ราคา 1 ล้าน ถ้าเราซื้อได้ในราคา 783,500 แล้วในอีก 5 ปีข้างหน้าราคายังเป็น 1 ล้าน ก็แสดงว่าถึงวันนั้น เรายังได้กำไรถึงปีละ 5%
2. เราต้องมีคามรู้ในการสำรวจเปรียบเทียบตลาดของทรัพย์สิน หัดประเมินค่าทรัพย์สินเอง โดยเฉพาะการเปรียบเทียบตลาด ว่า คนอื่นขายได้เท่าไหร่ ของเราดีกว่าหรือแย่กว่าคนอื่นอย่างไร เราจึงควรจะขาย/ซื้อในราคาเท่าไหร่ถึงจะไม่เสียเปรียบ คนที่หวังจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ ต้องทำการบ้านให้ดี ต้องออกสำรวจทรัพย์สินเพื่อให้แน่ใจว่าได้ทรัพย์สินที่ดีจริง ดูถึงทำเล สภาพแวดล้อม ข้อกฎหมายให้เหมาะสมด้วย


ข้อควร (เก็บไป) คิด
1. อย่าลืมนะครับ ไม่ว่าจะซื้ออะไร ก็ต้องซื้ออย่างรอบรู้ เราต้อง knowledgeable ในทรัพย์สิน ทำเล ข้อกฎหมายและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. ต้องไม่ให้ความโลภบังตา ข้อนี้แม้แต่เซียนยังดูพลาดมาแล้ว กรณีนี้มักจะประกอบด้วยความอยาก การเล็งผลเลิศ และนำไปสู่ความประมาท
3. ได้กำไรแล้ว ก็แบ่งกำไรคืนสังคมบ้าง เพื่อความผาสุกของสังคมครับ
Back