กฎหมายจดแจ้งการพิมพ์กับแวดวงอสังหาริมทรัพย์
หากสำรวจสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์บ้านเรา จะพบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าสิ่งพิมพ์ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ใบปลิว แผ่นพับโฆษณา นิตยสาร วารสาร หรือจุลสาร ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งวารสารฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ด้วยก็เป็นสิ่งพิมพ์ตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
ในเมื่อกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่วางแบบแผนปฏิบัติในสังคม สิ่งพิมพ์ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กฎหมายวางแบบแผนปฏิบัติไว้ด้วย ดังนั้นหากผู้ใดมีความประสงค์จะจัดทำสิ่งพิมพ์สักฉบับหนึ่งจึงควรพิจารณาดูว่ามีกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไว้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้ตนต้องได้รับผลกระทบจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎหมายฉบับสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์แต่เดิมนั้น คือ พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 แต่เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับมานานแล้วและมีหลายบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ การตรวจข่าว ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะกระทำมิได้ ปัจจุบันพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 จึงได้ถูกยกเลิกไปแล้วและได้มีการประกาศใช้กฎหมายขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่งเพื่อใช้บังคับแทน คือ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 โดยเริ่มมีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2550
ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 นั้น กฎหมายให้เหตุผลว่า เนื่องจากบทบัญญัติบางมาตราในพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์อื่น ๆ อีกหลายฉบับรองรับไว้เพียงพอต่อการคุ้มครองประโยชน์ของรัฐและประชาชนแล้ว จึงยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการพิมพ์และให้มีกฎหมายว่าด้วยจดแจ้งการพิมพ์เพื่อวางหลักเกณฑ์ในการรับจดแจ้งการพิมพ์เป็นหลักฐานให้ทราบว่า ผู้ใด เป็น ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบของประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหายในการฟ้องร้องดำเนินคดี
หากพิจารณาดูตามเหตุผลของกฎหมายแล้ว ดูเหมือนว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแวดวงอสังหาริมทรัพย์เลย แต่ในความเป็นจริงสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์กลับมีอยู่มากมาย หลายท่านอาจจะมองว่าการจัดทำสิ่งพิมพ์เป็นหน้าที่ของโรงพิมพ์ผู้ว่าจ้างไม่ได้ดำเนินการเอง ซึ่งการมองเช่นนี้อาจเป็นการมองข้ามประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญไป เพราะเรื่องการพิมพ์นี้มีภาษากฎหมายที่ต้องให้ความสนใจ คือ คำว่า "สิ่งพิมพ์" กับ "หนังสือพิมพ์" หลายท่านอาจสงสัยขึ้นมาอีกว่าสิ่งพิมพ์ก็ไปจ้างโรงพิมพ์ทำ หนังสือพิมพ์ก็ให้นักข่าวมาเขียนข่าวหรือไม่ก็เขียนบทความไปให้หนังสือพิมพ์ลง ดูแล้วไม่เห็นจะเกี่ยวกับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไปได้เลย ผู้เขียนอยากให้ท่านลองพิจารณาต่อไปครับ
ถ้า "สิ่งพิมพ์" เป็นแค่ใบโฆษณาสินค้า และ "หนังสือพิมพ์" เป็น หนังสือข่าวหัวสีที่วางให้เห็นทั่วไปตามแผงหนังสือ เพียงแค่นั้นก็คงไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับแวดวงอสังหาริมทรัพย์มากนัก แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า "สิ่งพิมพ์" และ "หนังสือพิมพ์" เป็นภาษากฎหมาย จึงไม่ใช่คำที่มีความหมายทั่วไปที่จะใช้ความรู้ตามสามัญสำนึกธรรมดาเข้าใจไปเองได้ แต่ต้องพิจารณาจากความหมายที่กฎหมายบัญญัติความหมายขึ้นไว้โดยเฉพาะ
"สิ่งพิมพ์" ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ หมายความว่า "สมุด หนังสือ แผ่นกระดาษ หรือวัตถุใด ๆ ที่พิมพ์ขึ้นเป็นหลายสำเนา" ส่วน "หนังสือพิมพ์" ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ หมายความว่า "สิ่งพิมพ์ ซึ่งมีจ่าหน้าเช่นเดียวกันและออกหรือเจตนาจะออกตามลำดับเรื่อยไป มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ก็ตาม มีข้อความต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ให้หมายความรวมถึง นิตยสาร วารสาร สิ่งพิมพ์ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทำนองเดียวกัน"
หากพิจารณาตามความหมายที่กฎหมายให้นิยามไว้ อาจอธิบายได้ว่า หนังสือพิมพ์ทุกประเภทเป็นสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งพิมพ์อาจจะไม่ใช่หนังสือพิมพ์ก็ได้ เช่น ใบโฆษณาบ้านจัดสรรเป็นสิ่งพิมพ์ แต่วารสารThai Appraisal ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้เป็นหนังสือพิมพ์ แล้วหนังสือบริหารด้วยรัก หนังสือคุณธรรมธุรกิจ โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย จะจัดเป็นสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์กันแน่ ในประเด็นนี้จะเห็นได้ว่าหนังสือย่อมเป็นสิ่งพิมพ์อย่างแน่นอนแต่จะเข้าข่ายเป็นหนังสือพิมพ์ด้วยหรือไม่ต้องพิจารณาว่าสิ่งพิมพ์นั้นมีจ่าหน้าเช่นเดียวกันและออกหรือเจตนาจะออกตามลำดับเรื่อยไปหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหนังสือบริหารด้วยรัก และหนังสือคุณธรรมธุรกิจไม่ได้มีลักษณะที่จะออกตามลำดับเรื่อยไป หนังสือทั้งสองเล่มจึงเป็นสิ่งพิมพ์แต่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ตามความหมายของกฎหมาย
ประเด็นว่าเป็น "สิ่งพิมพ์" หรือ "หนังสือพิมพ์" มีความสำคัญอย่างไรนั้น เป็นผลสืบเนื่องจากพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 กำหนดคุณสมบัติของ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ และเจ้าของหนังสือพิมพ์ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การจดแจ้งการพิมพ์ไว้ โดยบัญญัติหลักเกณฑ์ในส่วนของสิ่งพิมพ์ และหนังสือพิมพ์ ไว้แยกจากกันเฉพาะ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามย่อมมีโทษตามกฎหมายติดตามมา นั่นหมายความว่าหากได้รู้ถึงกฎเกณฑ์ของกฎหมายและได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นั้นอย่างถูกต้องแล้วย่อมเป็นการป้องกันไม่ให้ได้รับผลร้ายที่กฎหมายกำหนดนั่นเอง
สำหรับ "สิ่งพิมพ์" ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องสำคัญในกฎหมาย คือ ผู้พิมพ์ และผู้โฆษณา ซึ่งกฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ คือ
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
- มีถิ่นที่อยู่ประจำในราชอาณาจักร
- ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
- ไม่เคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่พ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือเป็นความผิดโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
- กรณีนิติบุคคลเป็น ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลนั้นต้องมีคุณสมบัติตามข้อ 1 ถึงข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นด้วย
ในทางปฏิบัติการจัดทำแผ่นพับ แผ่นโฆษณาทั้งหลาย มักจะว่าจ้างให้โรงพิมพ์เป็นผู้ดำเนินการ แต่สาเหตุที่ต้องนำมากล่าวถึงในเรื่องนี้ เนื่องจากกฎหมายวางหลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับสิ่งพิมพ์ที่เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นในประเทศไทยซึ่งไม่ใช่หนังสือพิมพ์ รวมถึงสิ่งพิมพ์ที่บันทึกด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์เพื่อขายหรือให้เปล่าไว้โดยเฉพาะให้ต้องแสดงข้อความ ดังต่อไปนี้
- ชื่อของผู้พิมพ์และที่ตั้งโรงพิมพ์
- ชื่อและที่ตั้งของผู้โฆษณา
- เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติได้ออกให้
|