ธอส. ระบุว่า
ยอดเอ็นพีแอลเริ่มขยับขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน
เร่งผู้จัดการสาขาหาสาเหตุและร่วมแก้ไขกับลูกค้าอย่างเร่งด่วน
ขณะที่ยอดสินเชื่อก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทำให้มีกำไรต่ำกว่าหลายปีที่ผ่านมา
เตรียมเสนอหลายมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง 2 พ.ค.นี้
กรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ
และอนุกรรมาธิการติดตามการใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ได้เข้าตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์
(ธอส.) โดยนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ
ธอส. กล่าวว่า การดำเนินการในปี 2550
ได้ตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อประมาณ 90,000
ล้านบาท ต่ำกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
ที่มียอดสินเชื่อกว่า 100,000 ล้านบาท
เนื่องจากได้ประเมินจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง และ
ธอส.ต้องการทำงานแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) และดูแลลูกค้าเก่ามากขึ้น
โดยสำหรับเอ็นพีแอล ยอมรับว่า
มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ล่าสุดขยับมาอยู่ที่
33,189 ล้านบาท โดยเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น
จากการตรวจสอบพบว่า
มาจากกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด
และกำลังให้ผู้จัดการสาขาตรวจสอบว่า
เกิดจากสาเหตุใดเป็นหลัก โดยต้องยอมรับว่า
จากนโยบายประชานิยมที่ถูกยกเลิกไป
ทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบในภาคอีสานลดลง
ซึ่งการให้ตรวจสอบเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น
ส่วนหนึ่งให้ดูว่า ปัญหามาจากรายได้ที่ลดลง
หรือการตกงานเป็นหลัก
โดยให้ผู้จัดการสาขาหาทางร่วมแก้ไขกับลูกค้าให้มากที่สุด
ส่วนผลการดำเนินงานของ ธอส.
จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2550 ธนาคารฯ มีกำไร 309
ล้านบาทเท่านั้น โดยยอมรับว่า
เป็นกำไรที่ต่ำกว่าหลายปีที่ผ่านมา
โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับมาตรฐานทางบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) และภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก
นายขรรค์ กล่าวว่า
ในการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
วันที่ 2 พฤษภาคมนี้
ซึ่งกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้หน่วยงานและธนาคารในสังกัด
เร่งหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ธอส.จะเสนอหลายมาตรการ
เช่น โครงการสินเชื่อบ้านพอเพียง ที่
ธอส.จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
จัดหาที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านและจำหน่ายให้กับประชาชน
ซึ่งขณะนี้ได้ทำโครงการนำร่องที่ อบต.ทับกวาง
จ.สระบุรี โดยมีสินเชื่อที่ ธอส.ร่วมปล่อยกู้ 30
ล้านบาท คาดว่าจะปล่อยกู้ได้ 120 หลังคาเรือน
โดยโครงการนี้จะมีการปล่อยกู้ประมาณ
250,000-350,000 บาท/ราย เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
และจะได้ที่ดินประมาณ 40 ตารางวา
มีเป้าหมายช่วยผู้มีรายได้น้อยในต่างจังหวัดเป็นหลัก
ขณะเดียวกันก็จะเสนอโครงการสินเชื่อเพื่อผู้มีรายได้น้อยอื่น
ๆ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี
และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากอัตราคงที่
โดยแต่ละกลุ่มจะมีการจัดกลุ่มในการปล่อยสินเชื่อและแต่ละวงเงินสินเชื่อ
โดยสำหรับอัตราดอกเบี้ยคงที่
จะให้สำหรับผู้กู้ไม่เกิน 500,000 บาท และ
500,000-1,000,000 บาท ส่วนผู้กู้มากกว่า
1,000,000 บาท จะเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
อย่างไรก็ตาม
ในส่วนของดอกเบี้ยกำลังรอการหารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
(สบน.)
ว่าจะอนุมัติให้ออกพันธบัตรที่รัฐบาลค้ำประกัน
เพื่อนำมาปล่อยกู้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่
หากได้รับอนุมัติ ดอกเบี้ยก็จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
โดยต่ำสุดร้อยละ 4.75 แต่หาก
สบน.ไม่อนุมัติการออกพันธบัตร คาดว่า
อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี จะอยู่ที่ร้อยละ 6
ส่วนดอกเบี้ยที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยคงที่
อยู่ที่ร้อยละ 5.5 และอัตราดอกเบี้ยบ้านพอเพียง
อยู่ที่ร้อยละ 6
"วงเงินที่จะมาปล่อยกู้ช่วยผู้มีรายได้น้อย
ยังไม่ได้กำหนดวงเงิน ซึ่ง ธอส.เห็นว่า
การช่วยเหลือดังกล่าวจะมีเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น
เพราะหากโครงการอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว
ก็จะมีเงินเข้าระบบมากขึ้น แต่ส่วนตัวเห็นว่า
มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์
ยังควรใช้มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมมาประกอบด้วย"
นายขรรค์ กล่าว
นายขรรค์ กล่าวด้วยว่า
กำลังพิจารณาจะเสนอกระทรวงการคลัง
ให้ใช้งบประมาณช่วย ธอส. ในการดำเนินโครงการ
ธอส.-กบข. 1 เพราะโครงการดังกล่าว
ธอส.ประสบปัญหาขาดทุน
เนื่องจากเป็นอัตราดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐ
ที่ให้กำหนดดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี และปีที่ 4
เป็นต้นไปจะลอยตัว โดยอิงกับเงินฝากธนาคารกรุงไทย
บวกร้อยละ 0.75 ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขาดทุน
โดยโครงการนี้มีการปล่อยสินเชื่อทั้งสิ้น 23,000
ล้านบาท แต่จะขาดทุนเท่าใดกำลังพิจารณา
ซึ่งการเสนอของบประมาณช่วยเหลือจากกระทรวงการคลัง
ก็เป็นไปตามนโยบายที่ต้องการให้แยกบัญชีโครงการเพื่อสังคม
(PSA) ออกมาให้ชัดเจนว่า หากเป็นโครงการเพื่อสังคม
ธอส.จะได้รับการชดเชยหากเกิดปัญหาขาดทุน |