กำลังซื้อต่างชาติมีมากและจริง แต่ต้องไม่ให้ซื้อ
เมษายน 2540

    บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อ "ต้าน" การอนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่ดินในประเทศไทย

~
ปีพุทธศักราช 2540

    ขณะนี้ต่างชาติกำลัง "รอ" ว่าเมื่อไหร่อสังหาริมทรัพย์ไทยจะตกต่ำอย่างถึงขีดสุด และจะได้เข้ามา "ช้อน" ซื้อ ซึ่งห้วงเวลานั้นจะสอดรับการอนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่ดินในเมืองไทยได้พอดี และผลของการนี้จะใช้พิสูจน์ได้ว่า มาตรการการให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในเมืองไทยได้นี่แหละ คือมาตรการที่ "วิเศษสุด" และมีผลจริงในทางปฏิบัติ!!
    ข้อคัดค้านที่ว่า ปัจจุบันนี้เปิดโอกาสให้ต่างชาติมาซื้อก็คงไม่มีใครมาเพราะสถานการณ์มันไม่ดี ไม่จูงใจพอที่ต่างชาติจะมาลงทุนนั้น จริง
    แต่ใช่ว่าต่างชาติจะมาเมื่อสถานการณ์ดีเสียอย่างเดียว ข้อเท็จจริงที่แยบคายอีกทางหนึ่งก็คือ เขาจะมาเมื่อสถานการณ์ถึงขีดสุดเพื่อให้ซื้อได้ในราคาต่ำสุดเพื่อขายทำกำไรให้ได้ในอัตราสูงสุดต่างหาก

~
ปี พุทธศักราช 2542

    หลังจากที่ต่างชาติเขาซื้อที่ดินได้ที่แล้วในราคาสุดถูก ณ ห้วงเวลาขาขึ้น เขาก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างงามอีกต่อหนึ่งแล้วก็ไป ประดุจฝูง (นก) ที่จะโบยบินไปหา (ซาก) ใหม่ หรืออาจโบยบินกลับมากิน "ทายาท" ที่เหลืออยู่ของ (ซาก) เก่าจะที่เติบโตขึ้นและบังเอิญเพลี่ยงพล้ำบาดเจ็บในวันหนึ่งต่อไป

~
ปีพุทธศักราช 2532

    ขณะนั้นตามตัวเลขวิเคราะห์ ชี้ได้ว่า ตลาดอาคารชุดพักอาศัยราคาแพงย่านสุขุมวิท กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว แต่ก็ยังมีคนสร้างกันมากมายไม่รู้จบ สนามกอล์ฟ เกิดขึ้นปีเดียวเกือบ 50 สนามอย่างที่แทบไม่เชื่อว่าเมืองไทยจะมีคนเล่นกอล์ฟอำพรางตัวอยู่กันมากมายถึงเพียงนี้ได้
    ห้องชุดราคาแพงเหล่านี้มีคนซื้อไปแทบหมดก่อนที่จะสร้างสำนักงานขาย ก่อนที่จะสร้างป้ายคัทเอาท์เสร็จหรือก่อนที่จะรื้อบ้านหลังเดิมออกไปเสียอีก
    ตัวเลขคนซื้อที่เป็นต่างชาติมีจำนวนเท่าไหร่ ไม่มีใคร "กล้า"ทราบได้เลย แต่เชื่อว่าน่าจะมีมากกว่าครึ่ง และตัวเลขนักเก็งกำไรโดยรวมในแต่ละโครงการน่าจะมีมากกว่า 100% ของแต่ละโครงการเสียอีก เพราะสามารถขายใบจอง ทำกำไรกันต่อ ๆ ได้เป็นว่าเล่น
    ดูให้ชัด ๆ สมัยนั้น ไม่อนุญาตให้ต่างชาติซื้อห้องชุดในประเทศไทย ก็ยังอุตส่าห์มาเลี่ยงกฎหมายซื้อกันมากมาย ทั้งนี้เพราะมีโอกาสทำกำไรได้ง่าย

~
ปีพุทธศักราช 2534

    ภายหลังเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียในกลางปี 2533 และเศรษฐกิจฟองสบู่ของญี่ปุ่นเริ่มแตกฟอง ก็เกิดปรากฎการณ์ "น้ำลดตอผุด" ชาวต่างชาติที่จองซื้อห้องชุดราคาแพง ๆ ไว้ก็ทะยอยขายตั้งแต่ปลายปี 2533 และผ่องถ่ายขายไปอย่างรีบเร่งเรื่อย ๆ กลุ่มสุดท้ายของคนต่างชาติที่มาเก็งกำไรและขายไป ถึงกับยอมขายขาดทุนจากราคาที่ซื้อมาก็มี
    บางโครงการที่ "ทำเท่ห์" ให้สามารถคืนห้องชุดได้ถ้าไม่พอใจ ก็แทบจะ "หมดสติ" ไป ด้วยมีการคืนห้องชุดกันแทบหมดโครงการเลยทีเดียว
    นับแต่นั้นมา ห้องชุดราคาแพงก็แทบไม่มีใครสร้างอีก ที่ขายอยู่ บ้างก็ปิดโครงการไป บ้างก็ทะยอยสร้างจนอีก 3-4 ปีจึงแล้วเสร็จ และแทบไม่มีใครอยู่อาศัย

~
ปีพุทธศักราช 2538

    ผลของเวลาอันยาวนานระหว่างปี 2533-2538 (เมษายน) พบว่า ห้องชุดราคาเกินกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไปในย่านสุขุมวิท-พระรามที่ 4 ที่สร้างเสร็จในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน 4,071 หน่วยนั้น มีผู้เข้าอยู่อาศัย 2,380 หน่วย หรืออีกนัยหนึ่งมีจำนวนห้องที่ว่างอยู่โดยไร้ผู้อยู่อาศัยถึง 41.5% (ผลจากการสำรวจบ้านว่างในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์เมื่อปี 2538)
    ยิ่งหากดูสัดส่วนของคนต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเมืองไทย ที่ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา อนุญาตให้ซื้อไม่เกิน 40% ของห้องชุดนั้น ๆ จะพบว่า สัดส่วนของคนซื้อที่เป็นคนต่างชาติมีไม่ถึง 20% เลย ทั้งที่ตอนจองซื้อมีมากมายนัก เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คงทะยอยขายทำกำไรไปเรียบร้อยแล้ว

~
"อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ"

    ความเชื่อ: "คนต่างชาติที่เขามาทำมาหากินโดยสุจริต ก็น่าจะอำนวยความสะดวกให้เขาบ้าง" "เขาแต่งงานอยู่กินกับคนไทย..ไม่น่าไปจำกัดสิทธิของเขา" "เขาสู้อุตส่าห์หอบเงินมาปักหลักปักฐานในไทย ถ้าไม่ให้ที่ดินเขา เขาก็ขาดความมั่นใจ"
    ความจริง: ถ้าจะมาทำมาหากินในเมืองไทย เราอำนวยความสะดวกให้ทางอื่นที่เขาต้องการจริงได้มากมาย เช่น one-stop service การไม่มีนอก-ใน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ดี เขาก็ "ปลื้ม" พอแล้ว
    ถ้าเขาอุตส่าห์มาแต่งกับคนไทย อยู่เมืองไทยมานาน รักเมืองไทยยิ่งชีพหรือยิ่งกว่าประโยชน์พิเศษเฉพาะตน ก็โอนสัญชาติเป็นไทยอย่างท่านอาจารย์ศิลป พีรศรี หรือแม้แต่นายบ๊อบ โควีเคียน เสียเลยก็ดีนะ เอาไหมล่ะ
    คนที่ตัวเป็นฝรั่ง แต่ใจเป็นไทย ไม่น่ากลัว น่ารักออก และออกจะเป็นคนที่ "รักแล้ว...รักเลย" ด้วยซ้ำไป แต่คนในทางตรงกันข้ามซี่น่ากลัวยิ่งนัก
    การให้ต่างชาติซื้อที่ดินได้ในเมืองไทย โดยอาศัยข้ออ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามความเชื่อข้างต้นไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด
    ผมรู้จักคน ๆ หนึ่ง ท่านแต่งงานกับชาวญี่ปุ่น บอกถูกริดรอนสิทธิ์เหมือนกันในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน เรื่องใหญ่ของบุคคลแต่เป็นเรื่องเล็กสำหรับประเทศเช่นนี้ ก็ค่อย ๆ แก้กันไปได้แล้ว แต่ปัญหาเฉพาะบุคคลเหล่านี้จะมาขยายเป็นเรื่องใหญ่จนต้องแก้กฎหมายให้ใครก็ได้ที่ "หอบเงิน" มาลงทุนต้องซื้อที่ดินในเมืองไทยเสมอไป. โดยไม่แยกแยะไม่ได้
    สาระสำคัญก็คือ ถ้ามาลงทุนจริง และต้องการใช้ที่ดินเพื่อการลงทุน เช่น สร้างโรงงานอุตสาหกรรม ก็สามารถทำได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว
    แต่จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่า คนต่างชาติบางกลุ่ม บางพวกที่ต้องการมาซื้อที่ดินในเมืองไทย "จนตัวสั่น" ซึ่งคงมีจริงนั้น ไม่ใช่ต้องการมาซื้อเพื่อใช้เป็นปัจจัยการผลิตเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด
    เขาต้องการซื้อมา-ขายไป ทำกำไรเฉพาะกิจ (ประเดี๋ยวประด๋าว) ต่างหาก ถ้ามีกลุ่มคลื่นใต้น้ำอย่างนี้ เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีก ก็น่าจะถามกันอยู่หรอกว่า ...แค่นี้ยังยุ่งกันไม่พออีกหรือ
    เราต้องทำความเข้าใจให้ชัด ๆ ระหว่างเฉพาะบุคคลกับประเทศ ระหว่างเรื่องเล็กกับเรื่องใหญ่ ระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไร และที่สุดระหว่างธาตุแท้กับปรากฎการณ์

~
"เขตเช่า คนจีนและหมา..ห้ามเข้า"

    ในประวัติศาสตร์จีน ยุคอาณานิคมเขตเช่า ต่างชาติตอนนั้นคงยัง "ตรงไปตรงมา" จึงมีป้ายนี้เช่นนี้เขียนอยู่หน้าเขตเช่า บัดนี้ต่างชาติเขาคง "สุภาพ" ขึ้น ป้ายอย่างนี้คงไม่มี
    เราคงไม่ได้ดูต่างชาติในแง่อคติเลวร้ายหรอกนะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตรงที่... เดี๋ยวนี้โจรใส่สูทมีมากมาย ธรรมชาติปลาใหญ่กินปลาเล็กก็ยังอยู่ ญาติโยมนายทุนนายหน้าก็ยังสืบเชื้อกันมาไม่ขายสาย
    อาณานิคมยุคใหม่ไม่ได้มีเฉพาะการล่าเมืองขึ้นด้วยกำลังทหารแล้ว เขาพัฒนาจนอ้างความเป็นฝ่ายธรรมะกันแล้ว อ้างสิทธิมนุษยชน อ้างทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ คนไทยไม่รักแผ่นดินก็ยังมี ไหนเลยจะไปหวังความบริสุทธิใจจากต่างชาติกลุ่มที่เห็นเมืองไทยเป็นเพียงแหล่งทำเงินชั่วคราวเท่านั้น

~
ควรศึกษาให้ถ่องแท้

    ถ้าดูจากประจักษ์หลักฐานที่ห้องชุดยังมีคนต่างชาติถือครองไม่ถึงครึ่งของ 40% ตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าดูข้อเท็จจริงที่พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมยังว่างอยู่มากมายจนแทบไม่มีใครขึ้นโครงการนิคมอุตสาหกรรมกันอีกในเวลานี้แล้ว จะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องแก้กฎหมาย นั่งคิดให้เสียเวลาให้ต่างชาติมาซื้อที่
    อย่าอ้างว่าต่างชาติ ซื้อที่ได้ในประเทศอื่น เช่น ให้คนไทยไปซื้อที่ดินที่อเมริกาได้ ..ขอโทษ ตำรวจไทยเก่งกว่า FBI หรือ CIA หรือครับ ไปซื้อที่ดินที่อังกฤษได้... ขอโทษ ระบบอสังหาริมทรัพย์ไทยและการตรวจสอบเข้มแข็งกว่าเขาหรือครับ ไปซื้อที่ดินที่ออสเตรเลียได้ ..ขอโทษ ก็เหมือนให้เศรษฐีประเทศล้าหลังมาซื้อที่ในเมืองไทย คนไทยก็เห็นอยู่ว่าเศรษฐีเหล่านั้นคงไม่มีปัญญาก่อปัญหาให้ไทยได้เพราะเราฉลาดกว่า..ว่างั้น
    ในสิงคโปร์ มาเลเซีย เขาให้ต่างชาติซื้อที่กันอย่างไรจึงไม่เสียเปรียบ ก็น่าลองศึกษาดูให้กระจ่าง จะได้นำมาอ้างกันง่าย ๆ ว่าคนอื่นเขาทำได้ เราก็จะทำบ้าง
    และที่สำคัญก็คือ เรายังมีสิ่งใดอีกที่สามารถ "ล่อ" คนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้อีกนอกจากที่ดินแปลงใหญ่และที่ดินแปลงน้อย และทรัพยากรธรรมชาติ..สมบัติของอนุชนของเรา
    ในยุคโลกาภิวัฒน์ เราจะเป็นศูนย์กลางการโทรคมนาคม การบิน การขนส่ง การเงินในภูมิภาคได้อย่างไร ทั้งที่บรรพบุรุษของเราได้ให้ขวานทองที่เป็นชัยภูมิที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้แก่เราและลูกหลานไว้นานมากแล้ว

หมายเหตุ (ขอเพิ่มเติม)

ไม่จริง

 

 

ที่อ้างว่าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน เพราะนักลงทุนเขาดูฐานะทางเศรษฐกิจ หุ้น โครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต้องเอาที่ดิน คอนโดมาล่อ ต่างชาติก็รู้ว่าราคาบ้านและที่ดินไทยอาจตก เขาจึงไม่ซื้อ คนที่จะซื้อในเวลานี้ย่อมชอบกลและก็มุ่งมาหาประโยชน์บางอย่างมากกว่า บริษัทต่างชาติที่มาหากินบ้านเราเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว ไม่เห็นต้องมีปัญหาว่าจะซื้อบ้านซื้อที่ดินไม่ได้ตรงไหน อย่าเอาข้ออ้างจำเพาะเล็ก ๆ มาตัดสินใจเรื่องใหญ่เช่นนี้ของประเทศชาติ

 

ไม่จริง

 

 

ที่อ้างว่าประเทศอื่นก็ให้ซื้อได้ เราก็ทำได้ สิงคโปร์เขาให้ซื้อแต่ห้องชุดหรู ๆ บ้านชาวบ้านเขาไม่ให้แตะ รัฐบาลสิงคโปร์ถือครองที่ดินไว้ทั้งเกาะ มีการวางแผนที่ดี แล้วไทยมีมาตรการดี ๆ อะไรหรือ มาเลเซียก็มีมาตรการคล้ายเรา แต่ก็ล้มเหลว ประเทศไทยเป็นสวิสเซอร์แลนด์หรือ จึงมีคนพิสมัยนักที่จะอยู่จริง ประเทศเรามีประสิทธิภาพการรักษาความมั่นคงดีเท่าอเมริกาหรืออังกฤษหรือจึงคิดว่าจัดการได้ เรามีดาวเทียมจารกรรมหรือ ถ้าเป็นเศรษฐีไร้เขี้ยวเล็บเช่นมาจาก ลาว เขมร ยูกันดา เราก็คงไม่ต้องกลัว แต่นี่ไม่ใช่ เขาฉลาดกว่าเราโดยเฉลี่ยทุกประตู

 

ไม่จริง

 

ที่ว่ายกเลิกนโยบายนี้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าไม่ดี ถ้าทำถึงขนาดแก้กฏหมายกันยกใหญ่แล้วยกเลิกไปก็เสียหายต่อประเทศแน่นอน เพราะเขาจะว่าเรา "โลเล" แต่ถ้าจะยกเลิกตอนนี้โดยการกลับมติ ครม.ก็ยังทัน ยังไม่สาย

 

ไม่จริง

ที่ว่าง่ายต่อการทำสัมโนครัว ควบคุมชาวต่างชาติ ...เข้าใจไม่ได้

 

ไม่จริง

 

ที่ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์เพราะคนจะซื้อเขาคงไม่ซื้อบ้านจัดสรรของประชาชนทั่วไป เขาไปซื้อของแพง ๆ ของบางกลุ่มบางคน ซึ่งผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินรายกลาง-เล็กทั่วไป ประชาชนทั่วไปและสังคมโดยรวมจะไม่ได้ประโยชน์

 

ไม่จริง

 

ที่ว่ายังไงเขาก็ขนที่ดินกลับไปไม่ได้ แน่นอนดินเขาไม่ขนไปหรอก แต่เขาขนเงินที่ได้จากการขายออกไป คนไทยจะเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะกำลังซื้อต่ำกว่า เมืองไทยกลายเป็นเวทีในการรุมทึ้งจากประเทศ
มหาอำนาจ ซึ่งต่างจากที่เราไปซื้อที่ที่ลอนดอนหรือซานฟรานฯ เพราะเราไปแบบเศรษฐีกระเหรี่ยง

 

    
คงเป็นทัศนอุจาดแน่นอน ที่มีป้ายเขตเช่าต่างชาติ คอนโดต่างชาติเต็มบ้านเต็มเมืองในวันหน้า โดยที่คนไทยอาจกลับต้องไปเช่าเขาอยู่
มันชอบกลจริง ๆ   เวลาไม่ให้ซื้อแห่กันมาซื้ออย่างผิดกฎหมายเพราะเก็งกำไรได้ เวลานี้ต่างชาติทั่วไปไม่กล้าซื้อ
กลัวขาดทุนเหมือนคนไทยเรา ๆ นี่แหละ แต่กลับมีบางกลุ่มบางคนอยากซื้อ อยากขายจนตัวสั่นไปหมด
ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินทั่วไป นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ ประชาชน นักวิชาการ นายหน้า สถาปนิก วิศวกร ทุกสาขาวิชาชีพ การตัดสินใจอย่างนี้ไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติแน่นอน ยอมให้ตัวเองเจ็บ ล้มตายเสียดีกว่ายอมให้มีมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่จะส่งผลสะเทือนที่ไม่ดีในระยะยาวต่อไปถึงอนุชนของเรา