16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 2-4 สิงหาคม 2550 หน้า 49

ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>

          ตอนนี้เวียดนามกำลัง “ฮิต” ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ (ปลอบใจสักหน่อย) แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร “เอาเยี่ยงกา” มาลองดูกันครับ
          1. สนามบินสะดวกกว่าไทย อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮชิมินห์ แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก
          2. คนเวียดนามรักชาติ ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกินในประเทศเขาได้ยาก คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด) กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า “เลือดไทย” ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน
          3. “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น หาได้ถูกกว่าไทย มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย นี่แสดงว่าเขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ
          4. คนเวียดนามชอบค้าขาย เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วน ไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือไม่ต้องไปย่านการค้าใด ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้ โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม
          5. มีขอทานน้อยกว่าไทย ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่ง ให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ แทบไม่เคยพบ ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มีกระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)
          6. (แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก เขาไม่ค่อยขังให้เปลืองข้าวแดงเสียด้วย ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย แทบหาไม่ได้ ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว
          7. เศรษฐกิจ “กระดี๊กระด๊า” ดูดีไปหมด! ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง
          8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม มหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้ ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการจะสูญเสียผลประโยชน์ แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ
          9. แทบหา “บ้านว่าง” (บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10% นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเวียดนามเลย
          10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!) ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่าการผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี ซึ่งเป็นลักษณะ escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการนำเงินไปหมุนทางอื่นหรือนำไปซื้อรถเมอร์เซดีส โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อนมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ และหากใครจะขอกู้ ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อสถาบันการเงินตกลง สถาบันการเงินนั้นก็จะผ่อนชำระกับโครงการจนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป
          11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ แต่สำหรับไทย คงทำไม่ได้เพราะ “เขตทหารห้ามเข้า” (ฮา) หรือเพราะเรามัก “เจาะยาง” ด้วยการตีขลุมว่า ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง
          12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์ ทางราชการเวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ อาจมีอิดออดบ้าง แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว จะมาอ้างรักถิ่นฐาน อนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษาจิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” เช่นทุกวันนี้
          13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆ ของการพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชน เชื่องช้าเป็นที่สุด เช่น เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา! เพราะชนชั้นนำของประเทศไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง <3>
          14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง ท่านเชื่อหรือไม่ กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์ ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประเทศมูลค่าเพียงหลักแสนบาทโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คนที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี 2548ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย <4> เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง เทียบอะไรเขาได้หรือไม่
          15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซีย (Malaysian Investment Bankers Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย) ว่า หลังรัฐประหารของไทย มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เงินลงทุนแทนที่จะมาไทยกลับไปมาเลเซีย ที่เวียดนามก็เช่นกัน นักลงทุนไปกันมากมาย นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมดเพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!
          16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ เวียดนามกำลังรวมตัวกัน แต่ไทยกำลังจะแตก นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น คนเวียดนามโพ้นทะเล ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึงปีละ 150,000 ล้านบาท <5> แต่ประเทศไทยของเรากลับกำลังจะแตกแยก ภาคใต้ไม่แน่ว่าจะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็นประเทศอิสระในไม่ช้าไม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด) การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศกลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้ แล้วไทยจะเหลือหรือ

     ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง ก็ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ “เสียวสันหลัง” กันเสียบ้าง ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า “เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร” <6>

หมายเหตุ
<1>

ดร.โสภณ พรโชคชัย เคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเวียดนามด้านการวางระบบการประเมินค่าทรัพย์สิน ประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย แต่ได้เดินทางไปศึกษาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครอื่นด้วย ดร.โสภณมีอาชีพเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: sopon@thaiappraisal.org

<2>

มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiappraisal.org

<3> โปรดอ่านข่าว “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์: เพื่อส่วนรวมจริงหรือ” ใน อาคารที่ดินอัพเกรด วันอังคารที่ 13 - 20 กันยายน 2548 หน้า 65 หรือดูที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market80.htm
<4> โปรดอ่านข่าว “Vietnam referees, officials jailed for match fixing” ที่ http://www.soccerway.com/news/2007/July/02/vietnam-referees-officials-jailed-for-match-fixing ในประเทศจีนก็คล้ายกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังประหารชีวิตข้าราชการที่โกงกิน (แต่ที่ประเทศไทยแทบไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้) โปรดดูรายละเอียดที่ “China drug official given death sentence” ที่ http://www.iht.com/articles/ap/2007/07/06/asia/AS-GEN-China-Tainted-Products.php
<5> โปรดอ่านข่าว Overseas remittance will be more than $4bil (News on: 12/07/2006) ที่ http://www.dost-dongnai.gov.vn/e9ttchitiet.asp?idd=9377
<6> เพลง “ถามคนไทย” คุณสุรพล โทณวณิก (คำร้อง-ทำนอง) นายสันติ ลุนเผ่ (ขับร้อง) โปรดฟังและดูเนื้อร้องได้ที่ http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000080896