ประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขาย |
|
|
รางวัลชมเชย ระดับอุดมศึกษา
|
|
บ้านเราแสนสุขใจ
ถึงจะอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา นี่คือตอนหนึ่งของเพลง
บ้านเรา เมื่อเอ่ยถึง บ้าน ทุกคนก็รู้ดีว่า
คือ หนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
คำว่า บ้าน คือ ที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะมีรูปแบบใด
เช่น บ้านเดี่ยว อาคารชุด ห้องชุด หรืออาคารพาณิชย์ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ปัจจุบันมีคนอยู่สองฝ่ายที่สนใจบ้านอย่างมาก
ฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้ที่จะซื้อบ้าน ด้วยเหตุผลต่าง
ๆ เช่น อยากมีบ้านเป็นของตนเอง ซื้อไว้เก็งกำไร
ซื้อไว้ประดับบารมี หรือซื้อให้ญาติพี่น้อง
เป็นต้น อีกฝ่ายหนึ่งคือ ผู้ที่จะขายบ้าน
ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น สร้างบ้านไว้ขาย
มีบ้านหลายหลังเกินความจำเป็น ต้องย้ายที่อยู่
หรือขายเพื่อเอาเงินมาใช้ เป็นต้น จากประสบการณ์ที่พบเห็น
ปรากฏว่า มีผู้ซื้อและผู้ขายหลายรายมีปัญหาเรื่องราคาที่ซื้อหรือขายไม่ได้รับความเป็นธรรม
ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกหลอก ถูกโก่งราคาหรือกดราคา
สรุปก็คือ ซื้อหรือขายไม่สมราคา ที่เป็นเช่นนี้
เพราะทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่ได้ประเมินมูลค่าบ้านไว้ก่อนว่ามีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร
หรือไม่ก็ประเมินไว้อย่างหยาบ ๆ ดังนั้น
ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นที่จะต้อง ประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขาย
เพื่อจะได้ทราบถึง มูลค่าที่แท้จริง
จะได้ไม่เกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมในการซื้อขาย
ซึ่งต่อไปนี้จะชี้ให้เห็นว่าการประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่จะมีวิธีการอย่างไร |
|
อย่างไรก็ตาม
ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่
ขอทำความเข้าใจกับคำว่า มูลค่าที่แท้จริง เสียก่อน
จะได้มีความเข้าใจตรงกัน ซึ่งทางมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยได้อธิบายไว้ดังนี้ |
|
ในการประเมินค่าทรัพย์สิน
เราเรียกมูลค่าที่ประเมินว่า มูลค่าตลาด
ซึ่งมีคำจำกัดความว่า |
เป็นราคาประมาณการสูงสุด
ณ วันที่ประเมินค่า ซึ่งทรัพย์สินนั้นสามารถขายได้ในตลาดเสรีทั่วไปในระยะเวลาที่พอเพียง
และสมเหตุสมผลในการหาผู้ซื้อ และผู้ขายมีคามรอบรู้ในการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้นได้อย่างเต็มที่ในสภาพที่เป็นอยู่
โดยมีสมมุติฐานว่าราคานี้ไม่ได้มีผลกระทบจากความมิชอบหรือสภาพพิเศษใด
ๆ |
ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริง ก็คือ มูลค่าตลาด โดยคำว่า
มูลค่าตลาด จะแตกต่างจากคำว่า ราคาตลาด กล่าวคือ มูลค่าตลาด
เป็นมูลค่าตามความเห็นของผู้ประเมินต่อทรัพย์สินที่ประเมิน
โดยการเปรียบเทียบจาก ราคาตลาด ซึ่งหมายถึง ราคาทรัพย์สินอื่น
ๆ ที่มีการซื้อขายหรือประกาศขายในบริเวณนั้น
หรือหมู่บ้านนั้น ซึ่งมีมากมายหลายราคา
ในการประเมินนั้น ผู้ประเมินจะต้องนำราคาตลาดที่สืบหาได้
มาทำการวิเคราะห์มูลค่าตลาดอีกทีหนึ่ง
เพื่อหา มูลค่าที่แท้จริง |
|
วิธีการประเมินมูลค่าบ้าน |
ในการประเมินมูลค่าของ บ้าน ทางมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
ก็ได้อธิบายไว้ว่า จะใช้วิธีเดียวกันกับการประเมินค่าทรัพย์สินทั่วไป
ซึ่งมีวิธีการที่ถือเป็นมาตรฐานสากลอยู่
3 วิธีหลัก ๆ คือ |
|
วิธีที่
1 วิธีวิเคราะห์มูลค่าจากต้นทุน ( Cost
Approach to Value ) |
หลักสำคัญของวิธีนี้ก็คือ
มูลค่าของสิ่งหนึ่ง = ต้นทุนในการหาสิ่งอื่นที่เทียบเคียงได้มาทดแทน
|
วิธีการก็คือ
เราเริ่มที่การประมาณการต้นทุนในการสร้างอาคารทดแทนตามราคาปัจจุบัน
แล้วหักลบด้วยค่าเสื่อม (ถ้ามี) บวกด้วยมูลค่าตลาดของที่ดิน
ก็จะได้มูลค่าของทรัพย์สินนั้น |
ข้อสังเกตที่สำคัญของการประเมินมูลค่าวิธีนี้
ก็คือ ส่วนมากใช้สำหรับโรงงานหรืออาคารที่สร้างขึ้นเฉพาะ
และในภาวะที่ราคาทรัพย์สินตกต่ำ แต่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น
บางครั้งต้นทุนที่คำนวณได้อาจจะแพงกว่ามูลค่าตลาดเสียอีก
ทำให้การประเมินด้วยวิธีนี้ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงได้ |
|
วิธีที่
2 วิธีเปรียบเทียบตลาด ( Market Comparison
Approach ) |
เป็นวิธีที่ดีที่สุดและชัดเจนที่สุด
หลักก็คือ |
มูลค่าของทรัพย์สินของเรา =
ราคาของทรัพย์สินเทียบเคียงที่คนอื่นขายได้ |
แนวทางก็คือ
เริ่มที่การหาทรัพย์สินเทียบเคียงที่มีการซื้อขาย
/ เรียกขาย มาดูว่ามีลักษณะคล้าย / ต่างจากทรัพย์สินที่ประเมินอย่างไรบ้าง
เมื่อได้ข้อมูลมาเพียงพอแล้ว ก็ตรวจสอบเพื่อคัดเลือกนำทรัพย์สินที่เทียบเคียงได้จริงเท่านั้นมาทำการวิเคราะห์
โดยระบุถึงเงื่อนไขในการเปรียบเทียบของทั้งทรัพย์สินที่ประเมินกับทรัพย์สินที่เปรียบเทียบ
เช่น คุณภาพอาคาร ขนาดของที่ดิน อาคาร
เป็นต้น แล้วจึงสรุปหามูลค่าที่สมควรโดยวิเคราะห์เปรียบเทียบ |
|
วิธีที่สอง
วิธีแปลงรายได้เป็นมูลค่า ( Income Approach
) |
หลักก็คือ มูลค่าวันนี้
= ผลรวมของรายได้สุทธิที่จะได้ในอนาคตจนสิ้นอายุขัย |
ทรัพย์สินมีค่าเพราะมันสร้างรายได้
ทรัพย์สินที่สร้างรายได้สูงกว่า มักมีมูลค่าสูงกว่า
(ทำเล-คุณภาพดีกว่า)
|
ขั้นตอนของวิธีนี้มีดังต่อไปนี้ |
1 ) |
ประมาณรายได้ของทรัพย์สินจากทุกแหล่ง
โดยพิจารณาจากการเปรียบเทียบตลาดและรายได้จริงของทรัพย์สินที่ประเมินโดยตรง |
2 ) |
ลบด้วยการไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือหนี้สูญจากข้อเท็จจริง
และจากการเปรียบเทียบหรือแนวโน้มในตลาดก็จะได้รายได้ที่เป็นจริง |
3 ) |
จากนั้นก็หักด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น
ค่าดำเนินการ ค่าประกัน ค่าภาษี ค่าบำรุงรักษา
เป็นต้น ก็จะได้รายได้สุทธิ |
4 ) |
นำรายได้สุทธิมาเข้าสูตร V
= I / R โดยที่ V คือ มูลค่าทรัพย์สิน,
I คือ รายได้สุทธิ และ R คือ อัตราผลตอบแทน (อัตราผลตอบแทน
มักใช้อัตราขั้นต่ำปลอดภัยที่สุดที่ใช้เงินทำงานแทนเรา
โดยที่เราไม่ต้องไปลงทุนเสี่ยงเอง เช่น
ฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล
เป็นต้น |
วิธีแปลงรายได้เป็นมูลค่านี้
เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยที่เป็นหอพักหรือบ้านเช่า
ดังนั้น ผู้ที่จะซื้อขาย |
หอพักหรือบ้านเช่าก็ควรจะนำวิธีนี้มาใช้ในการประเมินจะเหมาะสมที่สุด |
การประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขาย |
เมื่อทราบถึงวิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
โดยทั่วไปแล้ว ต่อไปเราก็มาพิจารณาว่า จะมีวิธีการประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนที่จะมีการซื้อ-ขาย
อย่างไร โดยจะขอนำบ้านที่มีการซื้อ-ขายกันมาก
ซึ่งได้แก่ บ้านจัดสรรที่มีการซื้อขายกันทั่ว
ๆ ไป มาเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะสามารถเห็นได้ชัดเจน
กล่าวคือ ในการประเมินมูลค่าบ้านจัดสรร ถ้าจะให้มีการประเมินอย่างถ้วนถี่
ก็ต้องใช้วิธีเปรียบเทียบตลาดที่ว่า มูลค่าบ้านที่เราจะซื้อหรือขาย =
ราคาบ้านเทียบเคียงกับที่คนอื่นขายได้ ที่ใช้วิธีการนี้
ก็เพราะสามารถสืบหาข้อมูลตลาดประเภทเดียวกันที่คล้ายคลึงกันหรือเหมือนกันในบริเวณใกล้เคียงมาเปรียบเทียบได้เพียงพอ
เป็นต้นว่า บ้านเดี่ยว ชั้นเดียว ในหมู่บ้านจัดสรร
ซึ่งวิธีการนี้จะพิจารณามูลค่าตามสภาพราคาตลาดเป็นสำคัญ |
เริ่มจากทำการสำรวจบ้านที่ประเมินก่อนโดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง
ๆ เช่น ทำเลที่ตั้ง ประเภทของบ้าน ขนาดของบ้านและที่ดิน
พื้นที่ใช้สอย รั้วบ้าน บริเวณบ้าน ประเภทของวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง
ระบบสาธารณูปโภค และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
เป็นต้น ต่อจากนั้น ก็ไปสืบหาบ้านประเภทเดียวกันที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน
ที่เรียกว่า ข้อมูลตลาด มาเปรียบเทียบกับบ้านที่เราประเมิน
ว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างจากบ้านหลังที่เราประเมินในเรื่องใดบ้าง
แล้วจึงนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ถ้าเรื่องใดเหมือนกันก็ให้เป็นไปตามนั้น
ถ้าเรื่องใดแตกต่างกัน เช่น บ้านที่นำมาเปรียบเทียบมีห้องน้ำ
2 ห้อง แต่บ้านที่เราประเมินมีห้องเดียว
ก็มาปรับแก้ เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจนแน่ใจแล้ว
จึงมาสรุปมูลค่าตลาดที่ประเมิน โดยพิจารณาจากข้อมูลตลาดที่คล้ายคลึงกับบ้านที่ประเมินมากที่สุด
เชื่อถือได้มากที่สุด และมีการซื้อ-ขาย
ใกล้เคียงกับวันที่ประเมินมากที่สุด |
โดยสรุปก็คือ
ต้องสืบดูว่าบ้านที่เรานำมาเปรียบเทียบที่มีลักษณะต่างๆคล้ายกับบ้านหลังที่เราประเมิน
เขาขายกันราคาเท่าไร บ้านที่เราประเมินเพื่อจะซื้อหรือขายก็ควรมีราคาใกล้เคียงกัน
แต่มีข้อแนะนำว่า เพื่อความถ้วนถี่ ควรสืบดูบ้านที่จะนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบอย่างน้อย
2 หลัง และขอย้ำว่า การประเมินด้วยวิธีนี้
ความสำคัญอยู่ที่ข้อมูลตลาด เชื่อว่าทุกแห่งมีข้อมูลเพียงพอ
แต่ขึ้นอยู่กับการหาข้อมูล ผู้ประเมินต้องละเอียดรอบคอบ
อย่าหาเพียงข้อมูลเรียกขาย แต่ให้มีข้อมูลซื้อขายจริงด้วย
และต้องระวังการสร้างหลักฐานเท็จจะทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาดได้ |
สำหรับการซื้อขายบ้านที่ไม่ใช่บ้านจัดสรร
คือ บ้านที่ปลูกสร้างเอง ซึ่งมีรูปลักษณ์หลากหลาย
หาบ้านที่คล้ายกันมาเทียบเคียงยาก ถ้าจะประเมินให้ถ้วนถี่
ก็ขอแนะนำให้ใช้วิธีวิเคราะห์มูลค่าจากต้นทุน
โดยต้องนำปัจจัยต่าง ๆมาร่วมพิจารณาเพื่อหามูลค่าที่แท้จริง
เช่น สภาพของบ้าน แบบบ้าน วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง
อายุการใช้งาน การดูแลรักษา พื้นที่ใช้สอย
ระบบสาธารณูปโภค รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง
ๆ เป็นต้น |
ส่วนจะให้ใครมาประเมินนั้น
ก็อยู่ที่ผู้ซื้อผู้ขายเห็นสมควร แต่ถ้าจะให้ละเอียดถ้วนถี่
ก็ควรจะใช้ผู้ประเมินระดับมืออาชีพ โดยเฉพาะบริษัทที่รับประเมินที่มีอยู่หลายบริษัท
เพราะมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้และเชื่อถือได้ |
|
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขาย |
ถ้าผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขาย
จะเกิดประโยชน์มากมาย ที่สำคัญคือ |
1 ) |
ป้องกันไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ถูกหลอก
ไม่เสียรู้ เพราะถ้ารู้มาก่อนแล้วว่า บ้านหลังที่เรา
จะซื้อหรือขายมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไรแล้ว
โอกาสที่จะถูกหลอกหรือถูกเอาเปรียบก็ยาก
ผู้ขายจะมาโก่งราคา หรือผู้ซื้อจะมากดราคา
เราก็รู้ทัน สามารถอธิบายได้ว่าราคาที่สมเหตุสมผลเป็นเท่าไร
สรุปก็คือ ทำให้เกิดความเป็นธรรมในการซื้อขายช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีความสบายใจ
พอใจและมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน |
2 ) |
ทำให้มีการซื้อหรือขายกันง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น
เพราะรู้มาก่อนแล้วว่า บ้านหลังที่จะซื้อหรือขายมี
มูลค่าเท่าไร ไม่ต้องเสียเวลามาทำการประเมินกันใหม่
เมื่อต่างคนต่างรู้ก็ตกลงกันง่าย ได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
นอกจากนั้นถ้าผู้ซื้อรู้มาก่อนแล้วว่า บ้านที่จะซื้อมีราคาเท่าไร
ก็จะได้จัดหาเงินมาซื้อได้ตามราคา ส่วนผู้ขายถ้ารู้ราคาบ้านที่จะขายก่อนขาย
ก็ประกาศล่วงหน้าให้ผู้ซื้อได้ทราบก่อน จะช่วยให้มีลูกค้ามาติดต่อซื้อเร็วขึ้น |
3 ) |
ช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการประเมินให้ก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับ
เพราะในการประเมิน มูลค่าบ้านก่อนที่จะซื้อหรือขาย
จำเป็นจะต้องใช้วิธีการประเมินที่เป็นมาตรฐานสากล
ต้องใช้นักประเมินมืออาชีพที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพการประเมิน
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมวิชาชีพการประเมินให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้น |
นอกจากนั้น
ยังเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่จะขายบ้าน เพราะถ้ามีการประกาศราคาให้ผู้ซื้อรู้ล่วงหน้า
ก็ถือ ได้ว่ามีความจริงใจต่อผู้ซื้อ ผลที่ตามมาก็คือ
จะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้ซื้อ
ถ้าทำเป็นธุรกิจก็ช่วยให้ธุรกิจรุ่งเรือง
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังช่วยแก้ปัญหาให้รัฐบาลในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค
เพราะช่วยลดปัญหาการร้องเรียนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อ-ขายบ้าน
รัฐบาลก็ไม่ต้องเสียเวลามาแก้ปัญหากับเรื่องนี้
มีเวลาไปพัฒนาทางด้านอื่น |
ที่กล่าวมานี้
คงพอจะเห็นชัดแล้วว่า ถ้ามีการประเมินมูลค่าบ้านให้ถ้วนถี่ก่อนมีการซื้อ-ขายกันแล้ว
ประโยชน์ที่ได้รับจะมีมากมาย ทั้งผู้ซื้อ
ผู้ขาย และรัฐบาล ที่เห็นชัดที่สุดและตรงเป้าที่สุดก็คือ
การสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ซื้อและผู้ขาย |
อย่างไรก็ตาม
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินค่าทรัพย์สินน้อยมาก
ปัญหาการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อขายทรัพย์สินต่าง
ๆ ไม่เฉพาะแต่บ้าน ก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ
ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่ได้นำระบบการประเมินมูลค่าทรัพย์สินมาใช้
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่รู้ ไม่ยอมรับ หรือไม่เห็นความสำคัญก็ได้
ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการประเมินฯ
ให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในประเทศไทย
โดยจะขอเสนอแนะวิธีการดังต่อไปนี้ |
1 ) |
องค์กรทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการประเมินค่าทรัพย์สิน
จะต้องช่วยกันส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการประเมินให้เจริญก้าวหน้า
มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยดำเนินการอย่างน้อย
4 ด้าน คือ (1) การจัดการศึกษา ต้องจัดให้มีสถาบันเกี่ยวกับการประเมินโดยเฉพาะ
และผลักดันให้มีการเรียนการสอนวิชาเกี่ยวกับการประเมินในสถาบันการศึกษาทุกระดับทุกแห่ง
โดยเฉพาะระดับมัธยมและอุดมศึกษา (2)ให้มีการควบคุมมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพการประเมิน
(3) จัดให้มีองค์กรควบคุมทางวิชาชีพการประเมิน
และ (4) จัดให้มีฐานข้อมูลเพื่อการประเมินค่าทรัพย์สินอย่างพอเพียงและเป็นระบบ |
2 ) |
องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการประเมินค่าทรัพย์สิน
จะต้องร่วมมือกันเผยแพร่ ความรู้เรื่องการประเมินค่าทรัพย์สินให้ประชาชนได้รู้และเข้าใจอย่างกว้างขวางและทั่วถึง
พร้อมทั้งสนับสนุนหรือผลักดันให้ประชาชนนำความรู้เกี่ยวกับการประเมินค่าทรัพย์สินไปใช้ในชีวิตประจำวัน |
3 ) |
ในส่วนของประชาชนทั่วไป
ก็ต้องเห็นความสำคัญของการประเมินค่าทรัพย์สิน
ต้องหมั่นศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับการประเมินค่าทรัพย์สิน
และเมื่อมีโอกาสก็นำความรู้ไปใช้อย่างจริงจัง |
เพียงแค่
3 ข้อที่กล่าวมา ถ้าสามารถดำเนินการได้ ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้วิชาชีพการประเมินค่าทรัพย์สินเจริญก้าวหน้า
มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยอย่างแน่นอน |
บ้าน
ไม่ใช่เป็นเพียงที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
แต่บ้านเป็นสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันรากฐานที่สำคัญของสังคมไทย
อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของคนในครอบครัวในทุกด้าน
ทุกวันนี้ บ้านกลายเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวาง
ดังนั้น ถ้าจะตัดสินใจซื้อหรือขายบ้าน
ก็ควรจะได้มีการประเมินมูลค่าให้ถ้วนถี่เสียก่อน
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการซื้อขาย
และเพื่อให้ บ้าน ได้ทรงคุณค่าอย่างแท้จริงสมกับเป็นสถาบันครอบครัว
คงถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนควรจะหันมาสนใจเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าบ้านกันอย่างจริงจังเสียที
เพราะนอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ซื้อและผู้ขายแล้ว
ยังเป็นการช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการประเมินค่าทรัพย์สินให้เจริญก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในเชิงสังคม
และธุรกิจตามแบบนานาอารยะประเทศ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ช่วยสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
สังคมไทยก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ซึ่งจะส่งผลให้ชาติไทยของเราวัฒนาถาวรตราบชั่วนิจนิรันดร์ |
|
|
|
|