พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ให้ความหมายของคำว่า เวนคืน หมายถึง บังคับเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นตามเงื่อนไขแห่งพระราชบัญญัตินี้ จากความหมายดังกล่าว คงไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดคำว่า เวนคืน จึงเป็นคำที่ไม่พึงปรารถนาของผู้ถูกเวนคืน เพราะคำว่า บังคับ ในที่นี้หมายถึงใช้อำนาจสั่งให้ทำ หรือให้ปฏิบัตหรือให้จำต้องทำพูดกันง่ายๆก็คือ หากมีความจำเป็นหน่วยงานภาครัฐสามารถเวนคืนได้โดยอาจไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามตามมาว่าความจำเป็นอันใดเล่าที่จะต้องเวนคืน
มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ระบุว่า เมื่อรัฐมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการใดๆ อันจำเป็นเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภคหรือการอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพื่อการผังเมือง หรือเพื่อการพัฒนาการเกษตร หรือการอุตสาหกรรม หรือเพื่อการปฏิรูปที่ดิน หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น ถ้ามิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้... เมื่อพิจารณาความในมาตรานี้แล้วย่อมแสดงให้เห็นว่า การเวนคืน เป็นการดำเนินการบนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งรัฐเพื่อพัฒนาชาติโดยรวมรัฐจำเป็นจะต้องออกประกาศเวนคืนเพื่อให้การดำเนินโครงการต่างๆเช่น การตัดถนน การสร้างทางด่วน การสร้างสนามบิน การสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียการขยายโครงข่ายระบบโทรคมนาคม ฯลฯดำเนินไปด้วยดีการเวนคืนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะต้องเกิดขึ้นด้วยความจำเป็นที่ทุกคนควรยอมรับแต่ปัญหาที่พบเสมอเมื่อมีการเวนคืนคือ ผู้ถูกเวนคืนไม่เห็นด้วยซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุดังนี้
ผู้ถูกเวนคืนขาดความรู้เรื่องการเวนคืน ต้องยอมรับว่ามีคนไทยหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่าการเวนคืนเพื่อสร้างเมืองใหม่ หรือเพื่อขยายโครงข่ายสาธารณูปโภคต่างๆนั้นสามารถทำได้ ขณะเดียวกันก็ยังขาดความเข้าใจถึงสิทธิและค่าทดแทนที่ตนควรได้รับ จึงทำให้เกิดการต่อต้านและไม่ยอมรับราคาทดแทนที่ได้แม้บางครั้งจะเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
การประเมินค่าทรัพย์สินและการจ่ายค่าทดแทนที่ไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมานั้นการจ่ายค่าทดแทนเป็นการจ่ายตามราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ่งถือเป็นแหล่งอ้างอิงของทางราชการ ราคาประเมินจึงเป็นราคาที่ต่ำมากไม่สอดคล้องกับราคาซื้อขายจริงในท้องตลาด หรือถ้าหากข้าราชการคนใด คณะใดจะพิจารณาจ่ายค่าทดแทนสูงกว่าราคาที่ใช้อ้างอิงก็อาจถูกสอบสวนว่ามีส่วนได้เสียกับผู้ถูกเวนคืน จึงต่างพากันนิ่งเฉยผลร้ายที่ตามมาก็คือประชาชนผู้ถูกเวนคืนได้ค่าทดแทนที่ต่ำเกินไป
แม้ในปัจจุบัน การเวนคืนส่วนมากจะอ้างอิงราคาตลาดเป็นสำคัญแต่ภาพในอดีตที่เป็นดังฝันร้าย ก็ยังตามหลอกหลอน ทำให้ผู้ถูกเวนคืนใจหายใจคว่ำ และตกอยู่ในสภาพแห่งการสูญเสียที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในความครอบครองของตนต้องถูกประกาศเวนคืนปัญหาจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรที่จะสร้างการยอมรับสร้างความเข้าใจ และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และนำที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์จากการเวนคืนมาพัฒนาชาติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมการให้ความรู้เรื่องการเวนคืนและการประเมินค่าทรัพย์สินที่เป็นธรรมจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุด
สำหรับการให้ความรู้นั้น เมื่อจะมีการเวนคืนเกิดขึ้น รัฐจะต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุความจำเป็นที่ต้องเวนคืน รวมถึงสิทธิและค่าทดแทนที่พึงมี
พึงได้ ชี้แจงระเบียบวิธีการและขั้นตอนของการเวนคืน ให้ผู้ได้รับผลกระทบได้เข้าใจอย่างละเอียดทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดตามมา พร้อมกันนี้ควรจะให้การศึกษากับสังคมเพิ่มเติมด้วยว่า
การจะพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้นั้น ในฐานะพลเมืองของประเทศ
บุคคลไม่พึงกีดขวางความจำเป็นและความเจริญของชุมชน ชุมชนไม่พึงกีดขวางความจำเป็นและความเจริญของเมือง เมืองไม่พึงกีดขวางความจำเป็นและความเจริญของชาติ
หรืออีกนัยหนึ่งคือสิทธิส่วนบุคคลจะมีความสำคัญหรือหน่วงเหนี่ยวผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมไม่ได้เป็นอันขาดเพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากความเจริญนั้นล้วนแต่เป็นประชาชนในชาติทั้งสิ้น หาใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ ดังนั้นการต่อต้าน ขัดขวาง ประท้วง ดื้อแพ่ง ไม่ยอมให้การเวนคืนเกิดขึ้นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง
เมื่อรัฐสร้างความเข้าใจด้วยการให้ความรู้เรื่องการเวนคืนแล้ว ก็จะต้องดำเนินการชดเชยความสูญเสียส่วนบุคคลของผู้ถูกเวนคืนอย่างสมควรโดยอาศัยกระบวนการในการประเมิน
ค่าทรัพย์สินที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เป็นธรรม เพราะถ้าการประเมินค่าทรัพย์สินมีความเป็นธรรม เชื่อถือได้การเวนคืนก็จะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น และประสบผลสำเร็จในที่สุด
การประเมินค่าทรัพย์สินจึงเป็นหัวใจสำคัญในอันที่จะสร้างความเชื่อมั่นสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายโดยจะต้องอาศัยหลักและวิธีการในการประเมิน ดังนี้
ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน การประเมินค่าทรัพย์สินถือเป็นวิชาชีพที่จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญเพราะเป็นการเสนอความคิดเห็นจากผู้ประเมินที่มีต่อมูลค่าคุณภาพ หรือลักษณะต่างๆ ของทรัพย์สิน ซึ่งการประเมินถือว่ามีความจำเป็นต่อทรัพย์สินทุกประเภท สิ่งที่ประเมินอาจจะมีตั้งแต่ ที่ดิน อาคาร ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ในเชิงพาณิชย์อื่นๆ ดังนั้นหน่วยงานราชการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประเมินจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจระเบียบ วิธีการประเมินค่าทรัพย์สินตามกระบวนการอย่างครบถ้วน มีการสำรวจข้อมูลที่เพียงพอวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน ด้วยความถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรมมีมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผู้ประเมินไร้ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นการประเมินที่เป็นธรรมก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
การวิเคราะห์มูลค่าตลาดของทรัพย์สิน ในการประเมินค่าทรัพย์สินนั้นเราเรียกมูลค่าที่ประเมินว่า มูลค่าตลาด ซึ่งจะแตกต่างจากคำว่า ราคาตลาด โดยมูลค่าตลาดเป็นมูลค่าตามความเห็นของผู้ประเมินต่อทรัพย์สินที่ประเมินโดยการเปรียบเทียบจาก ราคาตลาด ซึ่งหมายถึงราคาทรัพย์สินอื่นๆ ที่มีการซื้อขายหรือประกาศขายอยู่บริเวณนั้น ซึ่งมีมากมายหลายราคาผู้ประเมินจะต้องนำราคาตลาดที่สืบหาได้มาทำการวิเคราะห์มูลค่าตลาดอีกครั้งหนึ่งการประเมินค่าทรัพย์สินจึงมักจะหามูลค่าตลาดเป็นสำคัญ ไม่ได้หาราคา เพราะเมื่อไร
ก็ตามที่หาราคา เมื่อนั้นการประเมินอาจจะไม่เป็นกลาง ดังนั้นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจึงมีหน้าที่ในการประมาณการมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่ตั้งราคาในการซื้อ-ขาย มูลค่าตลาดของทรัพย์สินนั้นไม่แตกต่างกัน แม้ว่าจะประเมินเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามส่วน ราคา นั้น อาจจะแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการใช้ สำหรับราคาเพื่อการเวนคืน หาได้จากมูลค่าตลาดบวกค่าเสียหายต่างๆ อันเกิดจากการเวนคืน หรือในบางกรณี อาจเท่ากับมูลค่าตลาดหักลบด้วยประโยชน์ที่ได้จากการเวนคืนก็ได้ดังนั้นการตัดสินใจบนพื้นฐานในแง่ของมูลค่า จะทำให้สามารถประเมินค่าทรัพย์สิน
เพื่อการเวนคืนได้อย่างถูกต้อง โดยอาจจะใช้วิธีการประเมินค่าทรัพย์สินตามมาตรฐานสากล ดังนี้
๑. วิธีวิเคราะห์มูลค่าจากต้นทุน เป็นการประเมินมูลค่าจากการคิดคำนวณต้นทุนการก่อสร้างใหม่ของบ้าน อาคาร หรืออสังหาริมทรัพย์ หักลบด้วยค่าเสื่อมราคา แล้วบวกด้วย
มูลค่าของที่ดิน ก็จะได้มูลค่าของทรัพย์สินนั้นซึ่งกรณีนี้เหมาะสำหรับการประเมินค่าโรงงานหรืออาคารที่สร้างขึ้นเฉพาะ
๒. วิธีเปรียบเทียบตลาด ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดเป็นการเปรียบเทียบกับราคาหรือ
มูลค่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในตลาด โดยระบุเงื่อนไขในการเปรียบเทียบทั้งทรัพย์สินที่ประเมินกับที่นำมาเปรียบเทียบเช่น คุณภาพอาคาร ขนาดที่ดิน-อาคาร แล้วจึงสรุปหามูลค่าที่สมเหตุสมผลและใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด วิธีการนี้หัวใจอยู่ที่การหาข้อมูลที่เพียงพอข้อมูลที่หานั้นต้องเป็นข้อมูลซื้อขายจริงไม่ใช่ข้อมูลประกาศขายที่สำคัญต้องระวังการสร้างหลักฐานซื้อ-ขายเท็จเพื่อลวงผู้ประเมินเพราะการประเมินที่มีข้อมูลเปรียบเทียบน้อยหรือไม่สอดคล้องกันจะทำให้การวิเคราะห์หามูลค่าผิดพลาด ไม่น่าเชื่อถือและไม่เป็นธรรมในที่สุด
๓. วิธีแปลงรายได้เป็นมูลค่า เป็นการใช้ผลรวมรายได้สุทธิที่จะได้ในอนาคต
จนสิ้นอายุขัย มาแปลงเป็นมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันนี้ เช่น ที่ดิน อาคาร บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ที่สามารถให้เช่าได้นั้น สามารถสร้างรายได้จากค่าเช่าตลอดอายุขัยเป็นเท่าไหร่ หรือขายต่อในภายหลังจะได้ราคาเท่าไหร่ กรณีนี้ ที่ดิน อาคาร บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่ในทำเล-คุณภาพดี มักจะมีมูลค่าสูง
๔. วิธีการตั้งสมมติฐานในการพัฒนา วิธีนี้เป็นแนวทางประเมินที่ดินเปล่า
โดยสมมติให้มีการพัฒนาที่ได้ประโยชน์สูงสุดและดีที่สุด ตามภาวะตลาดขณะนั้น และลดทอนค่าพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งค่าอาคารออกให้เหลือแต่ค่าที่ดินเปล่าในที่สุดทั้งนี้ทั้งนั้นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นจะต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมาย การเงิน การตลาด และสภาพกายภาพของที่ดินเท่านั้น
ในกรณีทรัพย์สินธรรมดาอาจใช้วิธีการเปรียบเทียบตลาดเบื้องต้น แต่ในกรณีทรัพย์สิน
ที่มีมูลค่าสูงหรือซับซ้อนมากอาจต้องใช้ทั้ง ๔ วิธี หรือวิธีขั้นสูงขึ้นไปมาพิจารณา หลังจากใช้แต่ละวิธีแล้ว จากนั้นผู้ประเมินจะสรุปความเห็นต่อมูลค่าที่สมควร เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์สรุปอีกครั้ง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบแต่ละกระบวนการหรือขั้นตอนในแต่ละวิธีและเมื่อ
ทบทวนแล้วอาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม จากนั้นก็อาจชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
ในแต่ละวิธีผสานกับประสบการณ์และความเห็นของผู้ประเมิน ก็จะสามารถสรุปมูลค่าที่สามารถอธิบายได้
อย่างไรก็ตามมูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินเพื่อการเวนคืนนั้น อาจจะสูงกว่า ต่ำกว่า
หรือเท่ากับราคาหรือมูลค่าที่ซื้อขายจริงในตลาดก็ได้ เพราะการประเมินมูลค่าเป็นเพียงความเห็นของผู้ประเมิน ณ วันที่ประเมินเท่านั้น แต่เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน ควรระลึกไว้เสมอว่า
การจ่ายค่าทดแทนจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาตลาด ที่ผ่านมาหน่วยงานราชการหลายแห่ง
ใช้ราคาประเมินของทางราชการซึ่งใช้เพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมากำหนดค่าทดแทน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นราคาที่ไม่สะท้อนมูลค่าตลาด ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ต่อเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อันจะนำมาซึ่งปัญหาการประท้วง การดื้อแพ่ง จนทำให้เกิดความล่าช้าและเสียหายต่อโครงการที่พึงดำเนินการจากการเวนคืน
การจ่ายค่าทดแทนอาจสูงกว่าราคาตลาด ในบางกรณีอาจจะต้องจ่ายค่าทดแทนสูงกว่าราคาตลาด เนื่องมาจากความสูญเสียโอกาสของผู้ถูกเวนคืนมีมูลค่ามากกว่านั้น เช่น สถานที่แห่งนั้น
อยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน เมื่อไปอยู่แห่งใหม่ ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว มีความยากลำบากในการเดินทางหรือไม่สามารถใช้เงินทดแทนนั้นไปซื้อทรัพย์สินในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงได้ ในกรณีที่เป็นสถานประกอบการอาจเกิดความยุ่งยากในการขนส่งสินค้า การหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ซึ่งความเสียหายเหล่านี้สมควรได้รับการชดเชยเช่นกัน
การใช้หลักวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินดังที่กล่าวข้างต้นประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ หมวดที่ ๓ เรื่องสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๔๒ วรรค ๒ ที่ระบุว่า การกำหนดค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งต้องกำหนดให้อย่างเป็นธรรมโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาด... ก็คงพอจะทำให้ผู้ได้รับผลกระทบอุ่นใจมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินของตนด้วย เบื้องต้นสามารถหาความรู้ได้จากการเปรียบเทียบราคาซื้อขายบ้าน-ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นในพื้นที่ใกล้เคียง หรืออาจจะสอบถามจากธนาคาร หรือหากต้องการตัวเลขที่ชัดเจนยิ่งขึ้นปัจจุบันก็มีบริษัทรับจ้างประเมินราคาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีองค์กรวิชาการอย่างมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยที่พร้อมจะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการประเมินค่าทรัพย์สิน เพราะเมื่อเราทราบมูลค่าทรัพย์สินของเราแล้วจะช่วยให้เราปกป้องผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะเมื่อรัฐจ่ายค่าทดแทนต่ำกว่าราคาประเมิน เราก็สามารถโต้แย้งเรียกร้องรักษาสิทธิได้ทันท่วงทีก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น
โดยสรุปแล้วแม้การเวนคืนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความจำเป็นที่จะต้องสร้าง หรือขยายโครงการสาธารณูปโภคใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อความผาสุกของประชาชนโดยรวม แต่อย่างไรก็ตามบุคคลที่ได้รับผลกระทบก็จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และได้รับค่าทดแทนที่สมเหตุสมผลครบถ้วนทันท่วงททั้งนี้ด้วยหลักวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินที่สามารถพิสูจน์และอธิบายได้ด้วยเหตุและผลดังนั้นการประเมินค่าทรัพย์สินจึงเป็นวิชาที่ใช้
เพื่อสร้างความเป็นธรรมโดยเฉพาะแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเพราะเมื่อมีการเวนคืนที่เป็นธรรมแล้วก็ย่อมจะสร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่ายทั้งในส่วนของผู้ถูกเวนคืนส่วนของประชาชนผู้เสียภาษีอากรเพื่อบำรุงประเทศ และในส่วนของรัฐที่จะได้นำทรัพยากรที่ได้จากการเวนคืนนั้นไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชาติต่อไป
|